Please wait...

E-catalogue
สายด่วน
0
Loading...
0
คุณไม่มีรายการสินค้าในตะกร้าของคุณ
0 สินค้าในตะกร้า
ยอดรวมรถเข็น : 0
×
มาตรฐานความปลอดภัยในอุปกรณ์เซฟตี้ที่ควรมี

มาตรฐานความปลอดภัยในอุปกรณ์เซฟตี้ที่ควรมีมาตรฐานของหมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้ ช่วยให้ห่างไกลจากอันตรายอุปกรณ์เซฟตี้หรืออุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE) เป็นอุปกรณ์ที่ป้องกันอันตรายหรือลดอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการทำงานไม่ว่าจะเป็นสิ่งของตกหล่น, การสัมผัสความเย็นและความร้อน, สารเคมี, กระแสไฟฟ้า, การเจาะทะลุ, การลื่น ซึ่งเป็นอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบจึงทำให้อุปกรณ์เซฟตี้มีหลายชนิดเพื่อให้สามารถป้องกันอันตรายทุกส่วนของร่างกายได้ เช่น หมวกนิรภัยป้องกันศีรษะจากการกระแทก รองเท้าเซฟตี้ป้องกันเท้าจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย เช่น น้ำเจิ่งนอง, มีสารเคมี หรือมีกระแสไฟฟ้า, การเจาะจากของแหลม ด้วยอุปกรณ์เซฟตี้ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่ออันตรายจึงต้องมีมาตรฐานเพื่อคอยควบคุมดูแลให้เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้เพราะหากไม่มีมาตรฐานอาจส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ที่สวมใส่ได้ มาตรฐานอุปกรณ์เซฟตี้ที่ใช้ในประเทศไทยมีทั้งหมด 9 มาตรฐานมาตรฐานทั้ง 9 เป็นมาตรฐานที่มีการก่อตั้งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่มีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยที่มีจุดประสงค์ และวิธีการที่เหมือนและมีความแตกต่างกันแต่มีความสอดคล้องกับกฎหมายไทย โดยมาตรฐานความปลอดภัยทั้ง 9 มีดังนี้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีสัญลักษณ์คือ มอก.หรือ TISมาตรฐานสถาบันความปลอดภัยและอนามัยในการทำงานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (The national Institute for Occupational Safety and Health) สัญลักษณ์คือ NIOSHมาตรฐานขององค์การมาตรฐานสากล (International Standardization and Organization) สัญลักษณ์คือ ISOมาตรฐานสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Fire Protection Association) สัญลักษณ์คือ NFPAมาตรฐานสถาบันมาตรฐานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (American National Standards Institute) สัญลักษณ์คือ ANSIมาตรฐานสหภาพยุโรป (European Standards)มีสัญลักษณ์คือ EN หรือ CEมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น (Japanese Industrial Standards) สัญลักษณ์คือ JISมาตรฐานประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ (Australia Standards/New Zealand Standards) สัญลักษณ์คือ AS/NZSมาตรฐานสำนักงานบริหารความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติ กรมแรงงาน ประเทศสหรัฐอเมริกา (Occupational Safety and Health Administration) สัญลักษณ์คือ OSHA มาตรฐานของหมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้ สัญลักษณ์ความปลอดภัยของอุตสาหกรรมมาตรฐานหมวกนิรภัย หมวกนิรภัยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันศีรษะจากการโดนของแข็งกระแทก การเจาะ และกระแสไฟฟ้า ซึ่งหมวกนิรภัยผลิตจากพลาสติกแข็ง โลหะ หรือไฟเบอร์กลาส จะมีสายรัดศีรษะและคางที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับขนาดของศีรษะได้เพื่อให้แน่นหนาสำหรับการป้องกัน นอกจากนั้นหมวกนิรภัยยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมได้ เช่น กระบังหน้า, ที่ปิดหู เพื่อครอบคลุมความปลอดภัยในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมาตรฐานของหมวกนิรภัยมีทั้งหมด 5 มาตรฐานด้วยกันคือ Osha Standard, ANSI/Isea Z89.1 standard, En Standard, CSA Z94.1 Standard และ มาตรฐาน มอก. ขอยกตัวอย่างรายละเอียดของ มาตรฐานหมวกนิรภัยของ ANSI โดยมีรายละเอียดดังนี้หมวกนิรภัยตามมาตรฐาน ANSI Standard Z89.1-2003 มาตรฐาน ANSI Standard Z89.1-2003 มีการกำหนดประเภทของหมวกนิรภัยและระดับของหมวกนิรภัยเพื่อให้สามารถทำการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับประเภทของงาน โดยการทดสอบดังกล่าวเป็นการทดสอบขั้นพื้นฐานที่ใช้ทดสอบความแข็งแรงและทนทานในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงแต่ไม่สามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์ ประเภทของหมวกนิรภัยตามมาตรฐาน ANSI Z89.1-2003 ได้แบ่งหมวกนิรภัยตามลักษณะของการป้องกันซึ่งมี 2 รูปแบบคือ ป้องกันกระแทกและป้องกันไฟฟ้า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้หมวกนิรภัยประเภทที่ 1 ที่ลดการกันกระแทกจากด้านบนแต่ไม่สามารถกันการกระแทกจากด้านข้างหมวกนิรภัยประเภทที่ 2 ที่ลดการกันกระแทกทั้งด้านบนและด้านข้างหมวกนิรภัย ประเภท E ย่อมาจาก Electrical หมวกนิรภัยประเภทนี้ป้องกันไฟฟ้าได้ดี โดยจะต้องผ่านการทดสอบการป้องกันไฟฟ้าที่ 20,000 โวลต์หมวกนิรภัย ประเภท G ย่อมาจาก General หมวกนิรภัยประเภทนี้จะต้องผ่านการทดสอบการป้องกันไฟฟ้าที่ 2,200 โวลต์หมวกนิรภัยประเภทที่ C ย่อมาจาก Conductive หมวกนิรภัยประเภทนี้ไม่สามารถป้องกันไฟฟ้า และไม่มีการทดสอบการป้องกันไฟฟ้าการทดสอบประสิทธิภาพหมวกนิรภัยของมาตรฐาน ANSI Z89.2003การป้องกันการกระแทก ใช้ทดสอบหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2 ซึ่งจะมีการสวมใส่จริงและทดสอบหมวกนิรภัยในสภาพอากาศเย็น 12 ประเภทและสภาพอากาศร้อน 12 ประเภท เพื่อทดสอบการกระแทกของหมวกนิรภัยในสภาพอากาศที่แตกต่างกันที่ความเร็ว ณ จุดกระทบ 5.5 เมตร/วินาที โดยวัตถุที่ใช้ในการทดสอบที่ตกกระทบควรมีน้ำหนัก 3.6 กิโลกรัม ซึ่งค่าการทดสอบและค่าเฉลี่ยจากการทดสอบทั้ง 24 สภาพอากาศจะต้องมีการบันทึก และความเร็วการตกกระทบของวัตถุค่าเฉลี่ยของแรงที่ส่งผ่านหมวกนิรภัยไม่ควรเกิน 3,780 นิวตันการเจาะทะลุ ใช้ทดสอบหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2 โดยการทดสอบจะมีการสวมใส่จริงและวัตถุที่ใช้ในการทดสอบการเจาะจะต้องมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม โดยการพุ่งมาของวัตถุต้องพุ่งมาในบริเวณเส้นรอบวงรัศมีไม่เกิน 75 mm (3.0 นิ้ว) จากกึ่งกลางของหมวกนิรภัยและความเร็วที่เกิดจากการตกจากที่สูงจะต้องมีความเร็ว ณ จุดกระทบ 7 เมตร/วินาที ซึ่งหมวกนิรภัยที่มีประสิทธิภาพวัตถุที่มาเจาะไม่ควรติดกับเนื้อของหมวกนิรภัยการป้องกันไฟ ใช้ทดสอบหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2 โดยมีการสวมใส่จริงและพ่นไฟที่หมวกนิรภัยเป็นเวลา 5 วินาทีที่อุณหภูมิ 800-900 องศาเซลเซียส ซึ่งหลังการทดสอบบริเวณด้านนอกของหมวกนิรภัยไม่ควรมีร่องรอยของการไหม้การป้องกันไฟฟ้า ใช้ทดสอบทั้งหมวกนิรภัยประเภทที่ 1, ประเภท 2, ประเภท E และ G โดยจะมีการทดสอบการป้องกันการกระแทกก่อนแล้วจึงจะทดสอบการป้องกันการรั่วของไฟฟ้าโดยประเภท E ทดสอบกับไฟฟ้าที่ 20,000 โวลต์ เป็นเวลา 3 นาทีที่ 9 มิลลิแอมป์และทดสอบการป้องกันการไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าที่ 30,000 โวลต์ หากมีประสิทธิภาพจะต้องไม่มีการรั่วและการเกิดรอยไหม้ หมวกนิรภัยป้องกันไฟฟ้าประเภท G จะต้องผ่านการทดสอบกับไฟฟ้าที่ 2,200 โวลต์ เป็นเวลา 1 นาทีที่ 3 มิลลิแอมป์นอกจากนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันศรีษะอีก 3 การทดสอบ คือ การดูดซับพลังงานการกระแทก, การเจาะทะลุนอกเหนือจากศูนย์กลางหมวก และการคืนตัวของรองในหมวก ซึ่งใช้ทดสอบกับหมวกนิรภัยประเภทที่ 2 เท่านั้น และหมวกนิรภัยที่ผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยจะต้องระบุเครื่องหมายมาตรฐาน ANSI, ชื่อ, สัญลักษณ์ของผู้ผลิต, วันที่ผลิต และขนาดบนหมวกนิรภัยตามมาตรฐานที่กำหนด มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ รองเท้าเซฟตี้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันความปลอดภัยบริเวณเท้าจากการตกหล่น การเตะ การสะดุด ลื่นไถล หรือการเจาะจากสิ่งของหรือปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง รองเท้านิรภัยมีทั้งแบบที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมทั่วไปและใช้ในงานเฉพาะด้าน เช่น งานที่เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า มาตรฐานของรองเท้าเซฟตี้ต้องผ่านการทดสอบตามคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ถึงจะผ่านมาตรฐานขั้นพื้นฐานได้ โดยมีการทดสอบดังนี้ 1. มีการป้องกันเท้าจากการกระแทก 2. การป้องกันเท้าจากการเจาะทะลุ 3. การป้องกันเท้าจากแรงกดทับ โดยอ้างอิงมาตรฐานการทดสอบตามมาตรฐาน ISO หรือมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ในแต่ละประเทศ มีกฎหมายและกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไป จึงส่งผลให้รองเท้าเซฟตี้ที่ผลิตแต่ละประเทศมีความแตกต่างด้านคุณสมบัติที่เพิ่มเติม ซึ่งมาตรฐานของรองเท้าเซฟตี้มีทั้งหมด 4 มาตรฐานด้วยกันคือ EN หรือ EN ISO, JIS, ASTM และ มาตรฐาน มอก. ขอยกตัวอย่างรายละเอียดของมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ตามมาตรฐานยุโรป EN ISO โดยมีรายละเอียดดังนี้ รองเท้าเซฟตี้มาตรฐาน EN ISO 20345: 2011 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในสหภาพยุโรปมีการทดสอบอย่างเข้มงวดและมีข้อกำหนดคุณสมบัติที่แบ่งตามประเภทของรองเท้าเซฟตี้ โดยมีคุณสมบัติมาตรฐานพื้นฐานดังนี้หัวของรองเท้าเซฟตี้ที่เป็นหัวเหล็ก ต้องสามารถต้านการกระแทกได้ 200 จูลวัสดุเสริมพื้นรองเท้า แผ่นรองพื้นระหว่างชั้นนอกและชั้นในสามารถทนแรงทะลุได้ 1,100 นิวตันพื้นรองเท้าชั้นนอกต้องมีคุณสมบัติทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีพื้นรองเท้าชั้นนอกต้องมีคุณสมบัติทนทานต่อความร้อนได้ 160 °C, 360 °Cพื้นรองเท้าชั้นนอกต้องมีคุณสมบัติในการกันลื่นรองเท้าเซฟตี้ที่ใช้กับงานไฟฟ้าต้องป้องกันไฟฟ้าสถิตได้รองเท้าเซฟตี้ที่ทำจากหนัง หนังรองเท้าต้องสามารถระบายอากาศได้ นอกจากนี้รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กมาตรฐานยุโรป EN ISO 20345 ที่สามารถต้านทานแรงกระแทก 200 จูล เป็นระดับการป้องกันที่สูงสุด มีการแบ่งประเภทแยกย่อยเป็น Class I และ Class II ซึ่งในแต่ละ Class จะมีสัญลักษณ์และคุณสมบัติเพิ่มเติมดังนี้ประเภท Class I เป็นรองเท้าเซฟตี้ที่ทำจากหนังและวัสดุอื่นที่ไม่ใช่ยางธรรมชาติหรือพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีด้วยกัน 5 ชนิด1.1 SB รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล1.2 S1 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นสามารถต้านทานไฟฟ้าสถิตได้ ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้ และหัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล1.3 S1P รองเท้าเซฟตี้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นสามารถต้านทานไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทก มีชั้นตรงกลางของพื้นต้านทานการแทงทะลุ หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล1.4 S2 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทก กันน้ำได้ และหัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล1.5 S3 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้ กันน้ำได้ มีชั้นตรงกลางของพื้นต้านทานการแทงทะลุ หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล พื้นรองเท้าด้านนอกแบบมีปุ่มประเภท Class II รองเท้าเซฟตี้ผลิตจากยางหรือพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีด้วยกัน 3 ชนิด2.1 SB รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล และกันน้ำได้2.2 S4 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล ป้องกันไฟฟ้าสถิต และพื้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้2.3 S5 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล มีชั้นตรงกลางของพื้นรองเท้าต้านทานการเจาะทะลุ ป้องกันไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทก กันน้ำ และพื้นรองเท้าด้านนอกแบบมีปุ่ม ทั้งนี้มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ EN ISO 20345 มีข้อบังคับให้ผู้ผลิตเพิ่มตัวอักษรระบุวัตถุประสงค์การใช้งานหรือสภาพแวดล้อมในการใช้งานรองเท้าเซฟตี้เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้ถูกต้องและปลอดภัย เช่น สัญลักษณ์ SB, S1 และหากรองเท้าเซฟตี้มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อรองรับการใช้งานที่เฉพาะมากยิ่งขึ้นจะมีสัญลักษณ์เพิ่มเติมด้านท้ายโดยมีสัญลักษณ์และความหมายดังนี้P พื้นรองเท้าเสริมเหล็กป้องกันการเจาะทะลุ 1,100 นิวตันC รองเท้าสามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตแบบตัวนำได้A รองเท้าสามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตได้HI รองเท้ามีฉนวนป้องกันความร้อนCI รองเท้ามีฉนวนป้องกันความเย็นE พื้นรองเท้าสามารถช่วยดูดซับแรงกระแทกส้นเท้าได้ 20 จูลWRU ส่วนบนของรองเท้าป้องกันน้ำซึมเข้ารองเท้าได้HRO พื้นรองเท้าทนต่อความร้อน 300 องศาเซลเซียส นาน 1 นาทีORO พื้นรองเท้าป้องกันน้ำมันได้ การเลือกใช้อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีมาตรฐานจะช่วยป้องกันอันตรายที่ไม่ร้ายแรงและช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่ร้ายแรงได้ ทั้งนี้มาตรฐานอุปกรณ์เซฟตี้มีความแตกต่างกันตามกฎหมายหรือข้อบังคับของแต่ละประเทศที่ผลิต อุปกรณ์เซฟตี้อย่างหมวกนิรภัยและรองเท้าเซฟตี้เป็นอุปกรณ์ที่ในทุกอุตสาหกรรมจะต้องมีจัดเตรียมไว้สำหรับพนักงานเพื่อสร้างปลอดภัยในการปฏิบัติงานและเป็นอุปกรณ์เซฟตี้ที่นิยมในการใช้งานเพราะใช้ป้องกันส่วนของร่างกายที่สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายและนำไปสู่อันตรายที่ร้ายแรงได้ Jenstore by Jenbunjerd ศูนย์รวมเครื่องมือและอุปกรณ์ความปลอดภัย ชุดป้องกันสารเคมี หมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้, หน้ากากกันสารเคมี, เข็มขัดกันตกเซฟตี้, แว่นตานิรภัย, ถุงมือกันไฟฟ้า ฯลฯ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานจึงปลอดภัยในการใช้งาน พร้อมยินดีให้คำปรึกษาการเลือกใช้งานและรับจัดหาสินค้าให้ตรงตามความต้องการ นอกจากนั้นยังมีบริการหลังการขายและการรับประกันคุณภาพสินค้าอีกด้วย สนใจสินค้าติดต่อเราWebsite : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
กรวยจราจรมีกี่แบบ เลือกอย่างไรให้ใช้งานได้ปลอดภัย

กรวยจราจรมีกี่แบบ เลือกอย่างไรให้ใช้งานได้ปลอดภัยเลือกใช้กรวยจราจรให้ถูกประเภทช่วยยกระดับความปลอดภัยหลายคนต้องคุ้นเคยกับวัตถุที่เป็นทรงกรวยสีส้มที่มักตั้งอยู่บนถนนเป็นสัญลักษณ์ในการเตือนให้ระวังหากเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว กรวยสีส้มที่ว่านี้เรียกว่า “กรวยจราจร” หรืออาจเรียกว่า กรวยวางถนน เป็น อุปกรณ์จราจร ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายไม่ใช่เฉพาะในอาชีพตำรวจเท่านั้น อาคาร สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็สามารถนำกรวยจราจรไปใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคารเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเตือนภัยให้ระวังด้วยเช่นเดียวกัน หรือจะใช้ในการกำหนดขอบเขตของพื้นที่ เช่น มีอุบัติเหตุ, มีการซ่อมแซมถนน, เขตการก่อสร้าง หรือแบ่งเส้นทางการจราจร เป็นต้น มาทำความรู้จักกรวยจราจร อุปกรณ์ที่ช่วยสร้างความปลอดภัยกรวยจราจร หรือ กรวยวางถนน มีลักษณะเป็นทรงกรวยสีส้มและมีสีขาวคาดอยู่บนกรวย สามารถสะท้อนแสงได้เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนหรือผู้ที่ขับรถในอาคารจอดรถหรือบริเวณรอบอาคารมองเห็นได้ จะมีความสูงมีตั้งแต่ 50-100 เซนติเมตร ซึ่งกรวยจราจรมีด้วยกัน 4 ประเภทแบ่งตามวัสดุพลาสติกที่ใช้ในการผลิต ประเภทของกรวยจราจร มีด้วยกัน 4 ประเภท1. กรวยจราจรที่ผลิตจากพลาสติก EVAเป็นประเภทของกรวยจราจรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะมีราคาที่ถูกและมีความยืดหยุ่นที่ดีจึงไม่แตกหักเมื่อโดนรถยนต์ทับหรือชนสามารถคืนได้รูปแบบเดิม ทนความร้อน ความชื้น และการกัดกร่อนของสารเคมี มีคาดแถบสะท้อนแสงบนกรวยเพื่อให้สามารถมองเห็นตอนกลางคืนได้ชัดเจน ซึ่งมีความสูงให้เลือกใช้งาน 4 ระดับ คือ 30, 50, 70 และ 80 เซนติเมตร นอกจากสีส้มแล้วกรวยจราจรประเภทนี้ยังมีสีให้เลือกใช้งานอีกมากมาย เช่น สีฟ้า สีเขียว สีม่วง สีขาว หรือสีชมพู สามารถสกรีนโลโก้หรือแบรนด์ได้ และ EVA ยังเป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมถึงแม้จะถูกทิ้งหรือเผา กรวยจราจรชนิดนี้เหมาะทั้งการใช้งานบนท้องถนน ภายในและภายนอกอาคาร 2. กรวยจราจรที่ผลิตจากพลาสติก PVCเป็นประเภทของกรวยจราจรที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด สามารถคืนรูปได้อย่างรวดเร็ว ผลิตจากเม็ดพลาสติก PVC ชนิดพอลิไวนิลคลอไรด์ เนื้อของกรวยจราจรจึงมีลักษณะขุ่นทึบแต่ก็ให้สีสันที่ชัดเจนได้ทุกสี เป็นฉนวนกันไฟฟ้าได้ ไม่ติดไฟ เป็นของแข็งที่คงรูปแต่มีความเหนียวและอ่อนนุ่ม จึงไม่เสียรูปจากการโดนรถยนต์ทับ ทนทานต่อแรงกระแทก, สภาพอากาศ และความร้อน ซึ่งมีความสูงให้เลือกใช้ทั้งหมด 4 ระดับคือ 30, 45, 70 และ 90 เซนติเมตร นอกจากนี้กรวยจราจร PVC ยังมีชนิดที่มีฐานทำให้กรวยจราจรชนิดนี้มีน้ำหนักทำให้เกิดความสมดุลในการทรงตัว และไม่เกิดการพลิกคว่ำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่อาจทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ด้วยคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้จึงทำให้กรวยจราจร PVC มีราคาที่สูงกว่ากรวยจราจรประเภทอื่น ๆ 3. กรวยจราจรที่ผลิตจาก PEกรวยวางถนนชนิดนี้มีฐานจึงทำให้ตัวกรวยไม่ล้มง่าย มีความเหนียว ทนทานต่อน้ำ ความชื้น กรด ด่างได้ดี มีน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นได้สูง เป็นฉนวนไฟฟ้า ไม่สามารถทนความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ ได้ แต่ทนทานต่ออุณหภูมิที่เย็นจัดได้ดี นิยมใช้ในสถานที่ที่มีลมพัดแรง หรือที่มีรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งมีความสูงให้เลือกใช้งาน 3 ระดับ 50, 75 และ 100 เซนติเมตร และเนื่องจากมีความสูงถึง 100 เซนติเมตรให้เลือกใช้จึงทำให้สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและยังมีแถบคาดสีสะท้อนแสงจึงยิ่งทำให้มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 4. กรวยจราจรแบบพับได้เป็นกรวยจราจรที่สะดวกในการพกพาและประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ ฐานของกรวยจราจรแบบพับได้จะมีแม่เหล็กเพื่อให้สามารถวางบนพื้น หลังคารถ หรือกระโปรงรถเพื่อไม่ให้หลุดหรือล้ม มีคาดแถบสีสะท้อนแสงและเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย ติดไฟกระพริบแบบเสียบหัวเพื่อให้เป็นจุดสังเกตได้มากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางด้วยการขับรถยนต์บ่อย ๆ เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น รถเสีย กรวยจราจรแบบพับได้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งกลางวันและกลางคืน มีความสูงให้เลือกใช้งานอยู่ 3 ระดับคือ 30, 50, และ 70 เซนติเมตร กรวยจราจรแต่ละประเภทมีจุดประสงค์ในการใช้งานที่เหมือนกันแต่การเลือกใช้งานต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและลักษณะในการใช้งาน การวางกรวยจราจรที่ถูกต้อง ในระดับสากล กรวยจราจรไม่ได้มีแค่สีส้มเท่านั้นยังมีการใช้สีอื่นในการสื่อความหมายโดยมีตัวอย่างสีดังต่อไปนี้สีแดง ในประเทศไทยจะหมายถึงสีส้มเป็นสัญลักษณ์เพื่อแจ้งเตือนอันตราย เหตุการณ์ฉุกเฉิน เพื่อต้องการให้ผู้ที่เห็นสัญลักษณ์หยุดหรือห้ามกระทำการดังกล่าวสีเหลือง เป็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนให้ระวังพื้นที่ดังกล่าวกำลังมีอันตรายเกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่คนนิยมใช้สีแดงหรือสีส้มมากกว่าสีเหลืองสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ตามหลักสากลเป็นสีสัญลักษณ์ของการบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตามสีเขียว ตามหลักสากลเป็นสีสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความปลอดภัย, ทางออกฉุกเฉิน ประโยชน์ของกรวยจราจร ที่ช่วยลดปัญหาและอุบัติเหตุสามารถใช้กำหนดอาณาเขตเพื่อป้องกันการเข้าพื้นที่ดังกล่าวได้ทำให้สามารถควบคุมดูแลพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ เช่น เขตพื้นที่ในการก่อสร้างเป็นสัญลักษณ์ใช้ในการแจ้งเตือนอันตรายหรือให้ระวัง เช่น มีอุบัติเหตุ, มีสิ่งกีดขวางบนถนน, มีการซ่อมแซมถนนแบ่งหรือรวมเส้นจราจร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในท้องถนนหรือเพื่อกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ การจอดรถในอาคารหรือลานจอดรถใช้ในงานราชการ เช่น การตั้งด่านสกัดของตำรวจ การวางกรวยจราจรที่ถูกต้องและปลอดภัยกรวยจราจรเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญเพราะเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยได้ ดังนั้นการใช้กรวยจราจรต้องรู้ มาตรฐานการวางกรวยจราจร และ ระมัดระวังในการใช้งาน เพราะเพียงแค่วางกรวยจราจรเพื่อแบ่งช่องให้รถจอดผิดก็สามารถกีดขวางการจราจรซึ่งถือว่าผิดกฎหมายได้ วิธี การวางกรวยจราจรที่ถูกต้อง มีตัวอย่างหลักในการใช้กรวยจราจรดังนี้วิธีตั้งกรวยจราจร กรณีรถเสีย ให้จอดรถให้ชิดข้างทางมากที่สุดเปิดไฟฉุกเฉินแล้วจึงนำกรวยจราจรว่างห่างจากท้ายรถไม่ควรน้อยกว่า 50 เมตร เพื่อให้รถที่มาด้านหลังสามารถมองเห็นได้จะได้ชะลอความเร็วของรถหรือเบี่ยงหลบได้ทันวิธีตั้งกรวยจราจร กรณีฉุกเฉิน เช่น อาจจัดสิ่งของที่อยู่ท้ายรถหรือซ่อมแซมรถที่เสีย ที่ต้องมีการจอดบริเวณไหล่ทาง ควรจอดให้ชิดไหล่ทางและควรนำกรวยจราจรมาตั้งระหว่างกลางของรถ 1 กรวย และด้านหน้าและด้านหลังของรถห่างกันประมาณกรวยละ 5-10 เมตร จำนวน 10-15 กรวยวิธีตั้งกรวยจราจร กั้นเลนของถนน สามารถพบได้บ่อยบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน ฯลฯ เพื่อกั้นเลนถนนให้สามารถเข้า-ออกได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ควรตั้งเป็นแนวตรงและแต่ละกรวยจราจรควรห่างกันทุก 30 เมตร แต่หากสถานที่ดังกล่าวมีคนพลุกพล่านอาจกั้นถี่ขึ้นเป็นทุก 5-10 เมตรก็ได้วิธี วางกรวยจราจรตอนกลางคืน ควรวางกรวยจราจรในระยะก่อนถึงประมาณ 150 เมตรขึ้นไป โดยอาจใช้กรวยจราจรที่สามารถพับได้เนื่องจากติด LED หรือจะใช้กรวยจราจรประเภทอื่นก็ได้แต่ควรมีแถบคาดสะท้อนแสงเพื่อให้สังเกตได้ง่ายและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุกรวยจราจรเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยโดยเฉพาะบนท้องถนน ช่วยลดการเกิดอุบัติเพราะกรวยจราจรช่วยให้สามารถมองเห็นจุดอันตรายได้ในระยะไกล เป็นการเตือนให้ระวังในการขับรถ นอกจากนี้ยังใช้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจราจรหรือสร้างความสะดวกให้กับพื้นที่นั้น ๆ เช่น กั้นเลนเพื่อแบ่งช่องถนนในช่วงที่การจราจรติดขัด, การกั้นเลนในการสร้างตำแหน่งการจอดรถในอาคารหรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้นJenstore by Jenbunjerd จำหน่ายอุปกรณ์จราจร เช่น แผงกั้นจราจร , กรวยจราจร, กรวยจราจรสะท้อนแสง, กรวยจราจรพร้อมฐานถ่วงน้ำหนัก เสาจราจร ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง มีความทนทานต่อสภาพอากาศ สีสันสดใส มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ในราคาที่ย่อมเยา ด้วยการบริการจากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำพร้อมบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องมือช่างที่ต้องมีติดบ้านและวิธีการดูแลรักษา

เครื่องมือช่างที่ต้องมีติดบ้านและวิธีการดูแลรักษา เครื่องมือช่างอุปกรณ์ที่ช่วยให้งานช่างมีประสิทธิภาพในการซ่อมแซม การซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ภายในบ้านเป็นปัญหาที่พ่อบ้านหลายคนต้องพบเจอ หลายบ้านจึงต้องมีเครื่องมือช่างเป็นไอเทมประจำบ้านที่ช่วยให้งานซ่อมแซมเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากเครื่องมือช่างได้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด เป็นเครื่องมือที่ช่วยผ่อนแรงในการทำงาน มีความสะดวก รวดเร็ว และช่วยซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องมือขั้นพื้นฐานให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เครื่องมือช่างส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องวัด ตัด ตอก ทุบ ไข จึงทำให้เครื่องมือช่างมีหลายชนิดเพื่อให้สามารถครอบคลุมในการใช้งาน เครื่องมือช่างชนิดไหนเป็นไอเทมที่ต้องมีติดบ้าน ค้อน เป็นเครื่องมือช่างประเภทงานตอกหรือทุบ มีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน คือ ด้ามจับและหัวค้อน ด้ามจับทำจากไม้, เหล็ก, ไฟเบอร์กลาส และ TPR และหัวค้อนทำมาจากโลหะประเภทเหล็ก โดยหน้าค้อนจะเรียบใช้สำหรับตอกตะปู ส่วนหางจะมีลักษณะเป็นรูปตัววีใช้สำหรับดึงหรือถอนตะปู ค้อนมีหลายชนิดซึ่งมีการใช้งานที่แตกต่างกัน ชนิดของค้อนและลักษณะการใช้งาน 1.1 ค้อนหัวกลม ใช้ในงานโลหะและสามารถใช้ในการย้ำหมุดได้ 1.2 ค้อนช่างไฟฟ้าหรือค้อนเดินสายไฟ ค้อนชนิดนี้มีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับงานไฟฟ้า เช่น ใช้สำหรับงานตอกตะปูเดินสายไฟ 1.3 ค้อนไม้หรือค้อนพลาสติก ให้สำหรับทุบหรือตอกในงานเบา ๆ เช่น สังกะสี อลูมิเนียม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบุบหรือเกิดรอยขีดข่วน 1.4 ค้อนหงอน เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับทุบหรือตอกและเหมาะกับการถอนตะปูในงานไม้ 1.5 ค้อนยาง หัวค้อนผลิตจากยางพารามีคุณสมบัติที่ยืดหยุ่นและนิ่มไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในผิวของวัสดุ ใช้สำหรับเคาะขึ้นรูปชิ้นงานที่มีเนื้ออ่อนหรือโลหะแผ่นเคลือบชนิดบาง นิยมใช้กับงานที่ต้องการความประณีต ไม่ยุบ หรือบุบ เช่น งานปูกระเบื้อง วิธีการดูแลและเก็บรักษา เมื่อใช้งานเสร็จแล้วควรต้องเก็บเข้าที่ในตู้เก็บเครื่องมือช่างหรือกล่องอะไหล่ช่างเพราะอาจเกิดอันตรายได้ ควรมีการตรวจสอบว่าด้ามค้อนและหัวค้อนต้องสวมแน่นตลอดเวลาและควรตรวจเช็กก่อนใช้งานทุกครั้ง ไม่ควรทาน้ำมันหรือปล่อยให้มีน้ำมันบนด้ามค้อนเพราะอาจทำให้หลุดมือขณะใช้งาน หลังการใช้งานควรทำความสะอาดเพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ไขควง เป็นเครื่องมือช่างประเภทงานขันและคลายนอตหรือสกรู ลักษณะของไขควงจะมีด้ามที่ทำจากพลาสติก, ไม้, โลหะ จะมีก้านโลหะอยู่แกนกลางด้ามจับซึ่งจะใช้สำหรับส่งแรงบิด และปลายของก้านโลหะจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไป เช่น ปลายแฉก, ปลายแบน มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งปลายของก้านโลหะจะใช้สอดเข้าไปที่ร่องของนอตหรือสกรูเพื่อคลายและขันออกจากเหล็กหรือไม้ ชนิดของไขควงและลักษณะการใช้งาน 2.1 ไขควงปากแบน ใช้ขันและคลายนอตหรือสกรูที่มีร่องผ่าที่เส้นผ่านศูนย์กลางของหัว 2.2 ไขควงแฉก ใช้ขันและคลายนอตหรือสกรูที่มีหัวเป็นกากบาทนิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2.3 ไขควงออฟเซต ไขควงมีลักษณะเป็นแท่งโลหะปากไขควงดัดโค้งและหันปากไปในตำแหน่งตามกันหรือเยื้องกันก็ได้ เหมาะใช้ขันตามซอกตามมุมต่าง ๆ ที่ไขควงธรรมดาเข้าไปขันไม่ได้ 2.4 ไขควงปากบล็อก เป็นไขควงขันสกรูหกเหลี่ยม ไขควงชนิดนี้มีลักษณะปากที่เป็นบล็อกหกเหลี่ยม ใช้สำหรับสกรูที่มีร่องเป็นหกเหลี่ยม 2.5 ไขควงหกแฉก หรือไขควงแฉกดาว นิยมใช้ในงานเกี่ยวกับด้านยานยนต์หกแฉก งานเกี่ยว กับการซ่อมโทรศัพท์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน วิธีการดูแลและเก็บรักษา ใช้ไขควงให้เหมาะสมกับลักษณะของงานและร่องของนอตหรือสกรู หลังใช้งานควรเช็ดทำความสะอาด แล้วเก็บใส่กล่องเครื่องมือช่างเพื่อช่วยให้ไขควงมีอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น ประแจ เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้สำหรับยึด ขัน หรือคลายสกรู นอต สลักเกลียวเหมือนไขควง แต่มีลักษณะที่แตกต่างจากไขควง ประแจมีลักษณะเป็นด้ามยาวส่วนหัวมีรูปทรงพอดีกับอุปกรณ์เพื่อใช้ล็อก ขัน หรือคลายอุปกรณ์ ประแจผลิตจากเหล็กกล้าจึงมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กทั่วไปมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันเพื่อรองรับกับขนาดของนอตและสกรู ชนิดของประแจและลักษณะการใช้งาน 3.1 ประแจปากตาย ปลายทั้งสองด้านจะเป็นรูปตัวยูซึ่งขนาดของช่องว่างไม่เท่ากัน ใช้ในการขันหรือคลายนอตแต่อย่าขันแน่นมากเกินไปเพราะจะทำให้สลักเกลียวเสียหายได้ 3.2 ประแจแหวน ปลายทั้งสองด้านมีลักษณะเป็นวงแหวนใช้ครอบขันและคลาย ภายในรอบวงแหวนจะมีลักษณะเป็นแฉกทั้งหมด 12 แฉกสามารถขันและคลายในพื้นที่แคบ ๆ ได้ดีกว่าประแจชนิดอื่น ๆ 3.3 ประแจบล็อก ลักษณะคล้ายกับประแจแหวนแต่สามารถเปลี่ยนหัวได้ มีรูปร่าง ขนาด และความยาวที่แตกต่างกัน สามารถงอหัวได้ถึง 90 องศา นิยมใช้ในงานถอดประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 3.4 ประแจเลื่อนหรือประแจวงเดือน สามารถปรับความกว้างของปากประแจได้และมีหลายขนาด ปากข้างหนึ่งตายแต่ปากอีกข้างหนึ่งสามารถปรับขนาดได้ เป็นอุปกรณ์ที่นิยมมีไว้ติดบ้านเพราะสามารถทำงานช่างได้หลายประเภท เช่นงานประปาหรือก๊อกน้ำ วิธีการดูแลและเก็บรักษา ควรใช้ประแจให้ถูกต้องกับลักษณะงานและหลีกเลี่ยงการใช้ประแจที่มีขนาดใหญ่กว่าสกรูหรือนอต เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องมือและความปลอดภัยของผู้ที่ใช้งาน หลังการใช้งานควรทำความสะอาดและเก็บไว้ในกล่องเครื่องมือช่างทุกครั้ง ตลับเมตร เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้สำหรับวัดหาระยะของวัสดุหรือชิ้นงาน เช่น ความกว้าง ความยาว ความหนา ตลับเมตรมีความสะดวกในการพกพาเพราะสายวัดสามารถถูกเก็บอยู่ในตลับอย่างมิดชิด มีขนาดเล็ก ส่วนหัวของสายวัดจะมีตะขอเกี่ยวโดยใช้เป็นที่เกาะยึดกับขอบของชิ้นงานที่ต้องการวัดและเพื่อความสะดวกในการดึงสายวัดออกมาจากตลับเมตร ตลับเมตรสามารถใช้วัดได้ทั้งเป็นนิ้วและเซนติเมตร ในตลับเมตรที่เป็นโลหะจะมีสปริงอยู่ภายในเพื่อให้สายวัดถูกเก็บและดึงออกมาใช้งานได้อย่างสะดวก ความยาวของสายวัดมีขนาดตั้งแต่ 100 เซนติเมตรขึ้นไป วิธีการดูแลและเก็บรักษา การจัดเก็บสายวัดห้ามปล่อยสายวัดแรง ๆ เพื่อเก็บเข้าไปในตลับเพราะจะทำให้ตะขอสายวัดหลุดและสปริงด้านในอาจชำรุดได้ ห้ามใช้ตลับเมตรวัดแทนไม้บรรทัดเพราะอาจเกิดคลาดเคลื่อนได้และเป็นอันตรายต่อผู้ที่ใช้งาน ควรเช็ดและทำความสะอาดทุกครั้งหลังการใช้งานและควรเก็บในตู้เก็บเครื่องมือช่าง เพื่อรักษาคุณภาพของตลับเมตรและความสะดวกในการหยิบใช้งาน เลื่อย เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้ในการตัดชิ้นงานให้แยกออกจากกันหรือตัดแยกเป็นชิ้น ๆ เช่น ไม้หรือเหล็ก ซึ่งเลื่อยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามวัสดุที่ใช้ในการตัด ประเภทของเลื่อยและลักษณะการใช้งาน 5.1 เลื่อยตัดเหล็ก ลักษณะของเลื่อยคล้ายกับเลื่อยฉลุ แต่คันเลื่อยไม่โค้ง ใบเลื่อยเป็นแถบยาว ฟันของใบเลื่อยจะมีความห่าง ปลายทั้งสองข้างติดกับคันเลื่อย ความยาวตามมาตรฐาน 12 นิ้ว สามารถถอดเปลี่ยนใบเลื่อยได้ นอกจากใช้ในการตัดเหล็กแล้วยังตัดท่อ PVC ได้ด้วยเช่นกัน 5.2 เลื่อยตัดไม้ ความโดดเด่นของเลื่อยชนิดนี้คือฟันของใบเลื่อยจะมีความถี่มากกว่าเลื่อยตัดเหล็ก ในหนึ่งนิ้วจะมีใบเลื่อยประมาณ 8-12 ซี่ การตัดของเลื่อยตัดไม้จะเลื่อยตามความยาวและตามแนวขวางของเสี้ยนไม้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิด5.1.1 เลื่อยลัดดา มีอยู่ 2 ชนิด คือเลื่อยโกรกและเลื่อยตัด เลื่อยโกรกจะมีฟัน 6 ฟันต่อนิ้ว ตัดตามความยาวของเสี้ยนไม้ ส่วนเลื่อยตัดมีจำนวนฟัน 8-12 ซี่ต่อนิ้วใช้ตัดตามขวางของเสี้ยนไม้การตัดทั้งสองแบบเพื่อต้องการให้เกิดรอยตัดที่เรียบที่สุด 5.1.2 เลื่อยฉลุ มีโครงเป็นเหล็ก เป็นเครื่องมือที่ใช้เลื่อยส่วนโค้งต่าง ๆ ของไม้ให้เป็นลวดลายวงกลม 5.1.3 เลื่อนคันธนู มีลักษณะคล้ายคันธนู เหมาะสำหรับใช้ตัดกิ่งไม้ ทั้งกิ่งไม้สดและกิ่งไม้แห้ง หรือตัดต้นไม้เป็นท่อน ๆ เพื่อการเคลื่อนย้ายสำหรับงานก่อสร้าง มีให้เลือกใช้หลายขนาด ตั้งแต่ 12 นิ้ว , 21 นิ้ว , 24 นิ้ว และ 30 นิ้ว 5.1.4 เลื่อยโค้งตัดกิ่งไม้ เลื่อยโค้งตัดกิ่งไม้ ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดก่อไผ่ ฯลฯ มีลักษณะที่โดดเด่นคือ มีความโค้งของคมเลื่อยและฟันเลื่อย จึงทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว วิธีดูแลและเก็บรักษา หลีกเลี่ยงไม่ให้เลื่อยถูกน้ำหรือความชื้นเพราะจะทำให้เกิดสนิมได้ ควรจัดเก็บในกล่องเครื่องมือช่างหรือตู้เก็บเครื่องมือช่าง หลังจากใช้งานเลื่อยเสร็จควรถอดใบเลื่อยแยกจากด้ามจับและจัดเก็บแบบแยกและควรทำความสะอาด ทาน้ำมัน และตะไบตกแต่งเลื่อยให้คมอยู่เสมอ หากพบว่าชำรุดควรซ่อมแซมทันทีไม่ควรนำมาใช้งาน เครื่องมือช่างเป็นเครื่องมือที่ควรผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพและควรได้มาตรฐานเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด Jenstore by Jenbunjerd เป็นศูนย์รวมในการจัดจำหน่ายเครื่องมือช่าง จากแบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพ มีความทนทาน ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลกเป็นการรันตีถึงคุณภาพและรับรองได้ว่าเป็นเครื่องมือช่างของแท้ 100% นอกจากนี้ยังมีสินค้าเครื่องมือช่างให้เลือกมากกว่า 1,000 รายการ ท่านสามารถเลือกสินค้าได้ตรงใจง่าย ครบ จบ ในที่เดียวพร้อมทั้งมีบริการหลังการขายที่จะช่วยให้การใช้งานของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่นิยมใช้ในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม

รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่นิยมใช้ในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมรถยกถังน้ำมัน ความสะอาดและความปลอดภัยในการใช้งาน รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ใช้สำหรับยก-ย้ายและถ่ายเทน้ำมันออกจากถัง มีความสะดวกและรวดเร็วเพราะมีล้อเพื่อใช้ในการเคลื่อนย้าย มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับถังน้ำมันทำให้ง่ายต่อการถ่ายเท และปลอดภัยในการใช้งานด้วยมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการล็อก มีการใช้งานที่หลากหลายโดยสามารถยกถังน้ำมันขึ้นที่สูงได้ เช่น ยกถังน้ำมันขึ้นรถบรรทุกหรือเคลื่อนย้ายถังน้ำมันที่อยู่บนพาเลท และสามารถใช้ในพื้นที่ที่มีจำกัดที่ไม่สามารถเอียงถังน้ำมันเพื่อถ่ายเทน้ำมันได้ รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรสามารถใช้งานกับถังน้ำมันทั้งแบบถังเหล็ก, พลาสติก, สแตนเลส และไฟเบอร์กลาสได้ ข้อคำนึงในการเลือกใช้รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรชนิดและขนาดของถังน้ำมัน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องใช้รถยกถังน้ำมันเนื่องจากถังน้ำมันผลิตมาจากหลายวัสดุทั้งพลาสติก เหล็ก สแตนเลส และไฟเบอร์กลาส ซึ่งวัสดุบางชนิดมีขนาดและรูปแบบที่หลากหลายต้องเลือกใช้งานให้ถูกต้อง เช่น ถังน้ำมันเหล็กมักจะมีขนาดถังน้ำมัน 200 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางมาตรฐาน 584 mm สูง 876 mm แต่ถังน้ำมันพลาสติกอาจจะมีหลายขนาดแต่มีความจุของน้ำมันที่เท่ากันประเภทการยึดจับ รถยกถังน้ำมันมีการยึดจับถังน้ำมันอยู่ 2 รูปแบบรถยกถังน้ำมันแบบรัดรอบถัง โดยอุปกรณ์ยึดจับจะรัดรอบถังบริเวณช่วงกลางของถังน้ำมัน โดยใช้ปล้องนูนรอบถังเป็นตัวควบคุมไม่ให้ถังเลื่อนสไลด์ ดังนั้นถังที่ใช้กับรถยกถังน้ำมันชนิดนี้ต้องมี รอยนูน และเส้นผ่าศูนย์กลางต้องมีขนาดใกล้กับมาตรฐานของอุปกรณ์ยึดจับถังน้ำมัน ซึ่งชนิดของถังน้ำมันที่มักใช้กับรถยกถังน้ำมันชนิดนี้ คือ ถังน้ำมันเหล็กหรือสแตนเลสรถยกถังน้ำมันแบบจับขอบปากถังน้ำมัน จะมีคีมหนีบที่จะใช้จับขอบถัง มีตัวประคองที่กลางถังและก้นถัง ซึ่งมีทั้งแบบใช้มือล็อกคลายและแบบกลไกอัตโนมัติสำหรับการหมุนเทน้ำหนักของถังน้ำมัน ควรใช้ยกถังน้ำมันที่มีน้ำหนักตามที่ระบุไว้เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานรถยกถังน้ำมันความสูงที่ต้องการยก รถยกถังน้ำมันสามารถยกถังน้ำมันขึ้นที่สูงได้ แต่ความสูงที่ยกได้ก็มีจำกัดดังนั้นก่อนใช้งานจึงควรศึกษาข้อมูลของรถยกถังน้ำมันให้ดีก่อนการใช้งาน วิธีการใช้งานรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรมีหลายประเภทซึ่งจะมีหลักในการใช้งานที่เหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างกันตามฟังก์ชันการใช้งานที่มีเพิ่มเติมขึ้นมา โดยหลักการการใช้งานรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรจะต้องเข็นรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรไปด้านหลังของถังน้ำมันที่ต้องการจะใช้และล็อกเบรกเท้าที่ล้อของรถยกถังน้ำมัน แล้วใช้คีมจับถังน้ำมันและล็อกเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดและเปิดวาล์วเพื่อปั๊มไฮดรอลิกสำหรับยกถังน้ำมันซึ่งมีทั้งแบบเป็นคันโยกและแบบแป้นเหยียบ เมื่อได้ความสูงตามที่ต้องการก็สามารถเคลื่อนย้ายถังน้ำมันได้หรือจะถ่ายเทน้ำมันออกจากถังได้ โดยใช้มือผลักหรือใช้มือหมุนเกียร์ทดซึ่งมีสลักล็อกเพื่อควบคุมการเอียง เมื่อถึงตำแหน่งที่ต้องวางหรือเสร็จจากการใช้งานก็โยกคันโยกหรือเหยียบที่แป้นเหยียบเพื่อลดความสูงของถังน้ำมันให้ลงบนพื้นและปลดล็อกตัวล็อกของถังน้ำมันเพื่อจัดเก็บถังน้ำมันตามที่ต้องการ ประเภทของรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรแบบจับกลางถัง จะยก-ย้ายถังน้ำมันโดยการล็อกถังน้ำมันที่ตรงกลางของถังโดยตัวล็อดจะเป็นคีมขนาดใหญ่ที่โอบอุ้มถังน้ำมันไว้และมีตัวล็อกเพื่อป้องกันการเลื่อนของตัวล็อก โดยหากต้องการถ่ายเทน้ำมันออกจากถังบางรุ่นของรถยกถังน้ำมันจะใช้มือผลักถังน้ำมันแต่บางรุ่นจะใช้มือหมุนเกียร์ทดซึ่งมีสลักล็อกเพื่อควบคุมการเอียงของถังสำหรับถ่ายเทน้ำมันรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรแบบจับขอบปากถัง จะยก-ย้ายถังน้ำมันโดยการใช้คีมจับที่ปากถังและล็อก มีเหล็กรูปโค้งตามขนาดของถังน้ำมันและมีฐานเป็นเหล็กรูปทรงเหลี่ยมผืนผ้าใช้สอดใต้ถังเพื่อประคองถังน้ำมัน หากต้องการถ่ายเทน้ำมันจะใช้มือหมุนเกียร์ทดมีสลักล็อกเพื่อควบคุมการเอียงของถังสำหรับถ่ายเทน้ำมันรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร แบบขากางได้ ใช้ในการยกถังน้ำมันที่วางอยู่บนพาเลทโดยสามารถกางขาของรถเข็นได้เพื่อให้คร่อมพาเลทและทำการยกถังน้ำมัน โดยสามารถปรับขาให้กางออก กว้างได้โดยการหมุนตัวล็อกและเมื่อได้ระดับที่ต้องการหมุนตัวล็อกเข้าที่เดิมรถยกถัง 200 ลิตร แบบเข้ามุมพาเลท มีความโดดเด่นที่รูปทรงของขาของรถยกถังน้ำมันมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมเป็นรูปทรงที่เข้ามุมได้พอดีเป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้งานรถยกถัง 200 ลิตร แบบลอดใต้พาเลท ขาและล้อหน้าของรถยกถังน้ำมันจะมีขนาดเล็กแต่มีความแข็งแรงเพราะถูกออกแบบมาสำหรับใช้สอดใต้พาเลทเพื่อเคลื่อนย้าย รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร อุปกรณ์ทุ่นแรงในการยก-ย้ายในคลังสินค้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการผลิต จำหน่าย หรือใช้งานน้ำมันในจำนวนมาก จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ในการยก-ย้ายถังน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันอันตรายและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ในการเคลื่อนย้าย รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรจึงมีความสำคัญทั้งในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับในคลังสินค้าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการยก-ย้ายถังน้ำมันเพื่อการจัดเรียงหรือจัดเก็บถังน้ำมันให้เป็นระเบียบ โดยรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรสามารถยกสูงได้เพื่อให้ถังน้ำมันวางซ้อนกันได้หรือจะใช้เพื่อขนย้ายถังน้ำมันไปยังรถขนส่งเพื่อกระจายไปยังปลายทาง โดยรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร สามารถยกได้ทั้งพาเลทโดยใช้รถยกถังน้ำมันแบบลอดใต้พาเลท ทำให้การขนย้ายและจัดเรียงถังน้ำมันมีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สำหรับในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องมีการใช้งานน้ำมันสำหรับเครื่องจักรในกระบวนการต่าง ๆ รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรนอกจากจะใช้ในการยก-ย้ายถังน้ำมันแล้วยังใช้ในการถ่ายเทน้ำมันได้อีกด้วยจึงช่วยให้รวดเร็วและปลอดภัยในการทำงาน สามารถถ่ายเทน้ำมันได้จนหมดถังเพราะรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรบางรุ่นสามารถหมุนถังน้ำมันได้ถึง 360 องศาทำให้คุ้มค่าในการใช้งาน Jenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รถยกถังน้ำมันแบรนด์ JUMBO สำหรับยกถังน้ำมันเหล็ก 200 ลิตร ด้วยระบบไฮดรอลิกมือโยกหรือขาเหยียบ และหมุนถังน้ำมันเพื่อถ่ายเทน้ำมันด้วยการใช้มือหมุนเกียร์ทดสามารถหมุนถังน้ำมันได้ 300 องศา และ 360 องศาช่วยให้เทน้ำมันออกจากถังจนหมด นอกจากนี้ยังจำหน่ายรถเข็นถังน้ำมัน, ดอลลี่สำหรับถังน้ำมัน ซึ่งสินค้าทั้งหมดผลิตจากวัสดุคุณภาพและได้มาตรฐาน ยินดีให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญในเรื่องข้อมูลสินค้า วิธีการสั่งซื้อและจัดส่ง และบริการหลังการขายที่จะช่วยให้ท่านอุ่นใจเมื่อซื้อสินค้ากับ Jenstore สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน

นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรมที่ช่วยลดโลกร้อนนวัตกรรมรถยกไฟฟ้า, ลังพลาสติก, ถังขยะ เพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดมลพิษ วิกฤตของภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงซึ่งมีผลกระทบทั้งต่อการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ ในภาคของอุตสาหกรรมก็ตระหนักถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจึงพยายามหาสาเหตุเพื่อแก้ปัญหาและลดความรุนแรงเพื่อให้วิกฤตนี้หายไป ก๊าซเรือนกระจกเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนที่มีต้นตอจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ซึ่งรวมไปถึงกระบวนการต่าง ๆ ของอุตสาหกรรม หลายอุตสาหกรรมจึงค้นหาวิธีและเลือกใช้อุปกรณ์ลดโลกร้อนรวมไปถึงเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถลดภาวะโลกร้อนแต่ก็ยังสามารถดำเนินกิจกรรมในกระบวนการต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การเลือกใช้พาเลทพลาสติกแทนพาเลทไม้จะช่วยให้การตัดต้นไม้น้อยลงซึ่งต้นไม้ถือได้ว่าเป็นแหล่งออกซิเจนของโลก และพาเลทพลาสติกยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ การเลือกใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ลดโลกร้อนที่ลดการเผาไหม้โดยใช้ระบบไฟฟ้าหรือแมนนวลมากขึ้น เช่น รถยกไฟฟ้า, รถลากพาเลท, รถลากจูงไฟฟ้า จะช่วยลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากเครื่องยนต์ทำให้ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้ หรือการคัดแยกขยะทิ้งโดยทิ้งขยะลงในถังขยะให้ถูกประเภทจะช่วยให้ขยะถูกกำจัดได้อย่างถูกต้องและไม่ถูกหมักหมมจึงช่วยไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากการเลือกใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว อุปกรณ์และเครื่องมือเหล่านี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการเพิ่มศักยภาพการใช้งานและลดการก่อมลพิษเพื่อช่วยให้โลกกลับมาสู่จุดที่สมดุลอีกครั้ง 3 นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรม ช่วยเราช่วยโลกนวัตกรรมพลังงานสะอาดลดโลกร้อน เป็นพลังงานที่ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยที่สุดในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน นอกจากเครื่องจักรที่ทำให้เกิดการเผาไหม้แล้วยังมีเครื่องมือในการยก-ย้ายที่สามารถก่อให้เกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงได้ จึงมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อค้นหาพลังงานทดแทนและได้ค้นพบกับพลังงานไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ในการกักเก็บพลังงาน ซึ่งพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถใช้แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ เช่น รถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าที่ช่วยลดการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและยังดีต่อสุขภาพของพนักงานที่ไม่ต้องสูดเขม่าควันจากการเผาไหม้ ซึ่งรถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าถึงแม้จะมีหน้าที่ในการยก-ย้ายเหมือนกันแต่รูปแบบในการใช้งานมีความแตกต่างกัน โดยรถยกไฟฟ้าจะใช้ในการยก-ย้ายสินค้าที่สามารถยกสินค้าเพื่อจัดเรียงหรือจัดเก็บสินค้าบนที่สูงได้ เช่น ชั้นวางสินค้า, รถขนส่งสินค้า หรือการเรียงซ้อนกันของสินค้าในแนวดิ่ง ส่วนรถลากจูงไฟฟ้าใช้ลากสินค้าที่มีจำนวนหรือน้ำหนักที่มากที่วางบนพาเลททำให้สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และยังถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดโลกร้อน นวัตกรรมรถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพแต่ไร้มลพิษนวัตกรรมรถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดโดยเฉพาะขุมพลังงานอย่างแบตเตอรี่ จึงทำให้รถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าในยุคปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการยก-ย้ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีพลังงานที่สูงในการยกสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ๆ มีความคล่องตัวและรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะในพื้นที่แคบ ๆ เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดเล็กจึงทำให้รถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้ามีขนาดที่เล็กลงมาด้วย นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มรอบในการทำงานช่วยเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจึงมีผลดีต่อโลกเป็นอย่างมากช่วยลดโลกร้อนได้นวัตกรรมพลาสติก เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้ามักจะผลิตจากพลาสติก เช่น กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และพาเลทพลาสติก อุปกรณ์ที่กล่าวมามีความสำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้าป้องกันสินค้าไม่ให้เกิดความเสียหาย และง่ายในการหยิบใช้งาน พาเลทพลาสติกเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรองรับสินค้าเพื่อเคลื่อนย้ายหรือขนส่งสินค้าซึ่งสามารถช่วยให้เคลื่อนย้ายสินค้าที่มีจำนวนและน้ำหนักที่มากได้พร้อม ๆ กันโดยที่ไม่เกิดความเสียหาย อุปกรณ์ที่ผลิตจากพลาสติกอย่าง กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และพาเลทพลาสติก จะมีคุณสมบัติที่ความแข็งแรง มีความทนทานต่อสารเคมี กรด ด่าง ความชื้น กันน้ำ กันฝุ่นและแมลงได้ดีซึ่งทั้งหมดเป็นคุณสมบัติที่ดีของพลาสติก แต่พลาสติกใช้เวลาในการย่อยสลายนานจึงทำให้เกิดขยะพลาสติกเป็นจำนวนมากหากไม่มีการคัดแยกและกำจัดให้ถูกต้องนวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง ช่วยลดขยะล้นโลก ปัจจุบันได้มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพของเม็ดพลาสติกจนได้เม็ดพลาสติกคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติที่แข็งแรง เหนียวแน่น ทนต่อแรงกด และการตกกระแทก ด้วยคุณสมบัติที่ดีของเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงการผลิตพลาสติกต่อครั้งจึงใช้จำนวนเม็ดพลาสติกในการผลิตที่น้อยลงแต่ได้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าเดิม นอกจากนั้นการใช้จำนวนเม็ดพลาสติกที่น้อยในการผลิตยังช่วยลดการใช้พลังงานในการผลิตซึ่งหมายถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศให้น้อยลงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และพาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงยังมีข้อดีคือมีน้ำหนักที่เบาจึงช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในการขนส่งช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจ ไม่มีกลิ่นฉุนซึ่งดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถนำมารีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ได้โดยที่คุณสมบัติยังคงเดิมเหมือนเม็ดพลาสติกใหม่ ทำให้สามารถลดปริมาณของขยะพลาสติกได้เป็นจำนวนมาก นวัตกรรมถังขยะ ถังขยะเป็นภาชนะที่สำคัญในการคัดแยกขยะเพื่อให้สามารถนำขยะมากำจัดได้อย่างถูกวิธีและเพื่อลดปริมาณขยะให้น้อยลง ซึ่งในปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับขยะล้นโลกที่ต้องหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสมและก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ถังขยะที่ใช้ในการคัดแยกขยะมีด้วยกัน 4 ประเภทหลัก ๆ คือ ขยะเปียกสีเขียว, ขยะรีไซเคิลสีเหลือง, ขยะอันตรายสีแดง และขยะทั่วไปสีน้ำเงิน บางสถานที่อาจมีการแบ่งแยกประเภทของถังขยะมากกว่า 4 ประเภทก็ได้เพื่อให้สามารถกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ถังขยะพลาสติก, ถังขยะกระดาษ, ถังขยะถ่านไฟฉายหรือแบตเตอรี่ ปัจจุบันถึงแม้จะมีการรณรงค์ให้คัดขยะแต่ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีการคัดแยกขยะส่งผลให้ขยะแต่ละประเภทไม่ได้ถูกกำจัดอย่างถูกวิธี เกิดการหมักหมมและก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ลดโลกร้อนอย่างเช่นถังขยะเพื่อช่วยให้การทิ้งขยะเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น นวัตกรรมถังขยะอัจฉริยะในประเทศไทย นวัตกรรมถังขยะอัจฉริยะในประเทศไทยที่มีการพัฒนาและได้มีการนำมาใช้งานแล้วคือการเปิด-ปิดฝาถังขยะแบบอัตโนมัติโดยใช้ระบบเซ็นเซอร์ในการจับระยะเพื่อเปิด-ปิดฝาถังขยะ ช่วยให้ทิ้งขยะได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัสกับถังขยะเป็นการกระตุ้นให้มีความต้องการทิ้งขยะมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่มีความกังวลความสกปรกที่มักมีบนถังขยะ นอกจากนั้นยังมีถังขยะอัจฉริยะที่อยู่ในขั้นตอนของการทดลองใช้ที่มีเซ็นเซอร์ในการเปิด-ปิดถังขยะเช่นเดียวกัน แต่จะมีความพิเศษคือสามารถบอกสถานะของถังขยะได้ โดยจะมีสัญญาณของไฟคอยแจ้งเตือนว่าสถานะของถังขยะว่าเต็มหรือไม่เต็ม โดยหากไฟกระพริบสีแดงสลับน้ำเงินหมายถึงถังขยะยังไม่เต็ม แต่ถ้าหากมีไฟสีแดงค้างหมายถึงถังขยะเต็มเพื่อลดการหมักหมมของขยะซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดก๊าซเรือนกระจกได้ นวัตกรรมถังขยะอัจฉริยะในต่างประเทศ ในต่างประเทศอย่างประเทศออสเตรเลียก็มีการประดิษฐ์ถังขยะอัจฉริยะซึ่งยังเป็นตัวต้นแบบ โดยถังขยะอัจฉริยะสามารถคัดแยกขยะเองได้เพียงแค่หย่อนขยะลงในถัง โดยใช้น้ำหนักของขยะและระบบเซ็นเซอร์โดยควบคุมด้วย AI ในการแยกประเภทของขยะที่สามารถแยกย่อยได้ถึงประเภทของพลาสติกซึ่งพลาสติกแต่ละชนิดมีวิธีการกำจัดที่แตกต่างกัน และยังมีการใช้ internet of things (loT) ในการประมวลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และส่งข้อมูลไปเก็บไว้ที่คลาวด์ เพื่อให้ผู้ที่ใช้งานสามารถติดตามพฤติกรรมการทิ้งขยะได้ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในภาพรวมและในบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่จะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงในการจัดการขยะและกำจัดขยะได้อย่างถูกต้อง ถือเป็นอุปกรณ์ลดโลกร้อนที่มีประโยชน์มากๆนวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรมอย่างรถยกไฟฟ้า, รถลากจูงไฟฟ้า, กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, พาเลทพลาสติก และถังขยะ ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมลดการสร้างมลพิษโดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมแล้วยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับเครื่องมือและอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกด้วยJenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น รถยกไฟฟ้า, รถลากพาเลท, รถลากจูงไฟฟ้า, รถเข็น, โต๊ะยกปรับระดับ, กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก, พาเลทพลาสติก, ถังขยะ ฯลฯ ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ ที่จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมบริการให้คำแนะนำและบริการหลังการขายจากทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพให้ท่านมั่นใจในสินค้ารวมถึงบริการของทาง Jenstore สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
พาเลทพลาสติก อุปกรณ์ยอดฮิตในธุรกิจโลจิสติกส์

พาเลทพลาสติก อุปกรณ์ยอดฮิตในธุรกิจโลจิสติกส์ พาเลทพลาสติก กลไกสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจโลจิสติกส์ พาเลทพลาสติกมีบทบาทที่สำคัญในธุรกิจโลจิสติกส์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายหรือขนส่งสินค้าแล้ว ยังสามารถช่วยรวบรวมสินค้าให้เป็นระบบ ช่วยให้สามารถขนย้ายสินค้าจำนวนมาก ๆ ได้พร้อมกัน ช่วยประหยัดเวลาในการขนถ่ายสินค้า และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายและขนส่ง ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์มีการหมุนเวียนสินค้าได้อย่างรวดเร็วทำให้มีศักยภาพในการแข่งขัน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้เป็นอย่างดี พาเลทพลาสติก เป็นแท่นที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมใช้สำหรับวางสินค้าเพื่อลากเก็บ ลำเลียง หรือขนส่ง โดยพาเลทพลาสติกจะมีสองด้านคือ ด้านบนและด้านล่างโดยด้านบนจะเป็นด้านที่ใช้ในการวางสินค้าซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นผิวเรียบและแบบโปร่งลายตาราง ส่วนด้านล่างของแท่นจะมีช่องไว้สำหรับให้งาของรถลากพาเลท, รถยกไฟฟ้า หรือรถโฟล์คลิฟท์ สอดเข้าไปเพื่อยก-ย้ายสินค้า หรือพาเลทพลาสติกบางชนิดทั้งสองด้านสามารถใช้วางสินค้าได้โดยส่วนของขาจะอยู่ตรงกลางลักษณะคล้ายแซนด์วิช พาเลทพลาสติกนิยมใช้ในอุตสาหกรรมส่งออก เช่น ศูนย์โลจิสติกส์, คลังสินค้า และอุตสาหกรรมโรงงานทั่วไป โดยประเภทของพาเลทพลาสติกมีดังนี้ แบ่งตามประเภทของเม็ดพลาสติกที่ใช้ในการผลิตพาเลทพลาสติกซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1.1 เม็ดพลาสติกชนิด Polypropylene (PP) เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติกที่เบามาก มีความเหนียว ทนต่อแรงดึง และแรงกระแทก แต่ไม่สามารถทนทานต่อความเย็นได้และหากตกลงมาจากที่สูงมาก ๆ สามารถแตกหักได้ พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด PP นิยมใช้เพียงครั้งเดียว (Sigle Used) เนื่องจากมีน้ำหนักที่เบาและราคาถูกจึงประหยัดต้นทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ 1.2 เม็ดพลาสติก High Density Polyethylene (HDPE) เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูงมีความแข็งแรง ทนทาน แต่มีน้ำหนักที่มากเมื่อเทียบกับพาเลทพลาสติกที่ผลิตจากพลาสติก PP มีความทนทานต่อความเย็นได้ดีจึงสามารถนำมาใช้กับห้องเย็นที่มีอุณหภูมิติดลบได้ พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด HDPE นิยมนำกลับมาใช้หมุนเวียน (Multiple Used) เพราะมีความแข็งแรงและทนทานในการใช้งานเป็นอย่างมาก แบ่งตามลักษณะทางกายภาพของพาเลทพลาสติก 2.1 Single Face Pallet พาเลทพลาสติกแบบหน้าเดียวโดยจะมีด้านหนึ่งที่เป็นด้านที่ใช้วางสินค้าได้อีกด้านจะเป็นขาที่มีลักษณะคล้ายตัว E จะมีช่องว่างระหว่างขาเพื่อให้งาสอดเข้าไปได้ พาเลทพลาสติกชนิดนี้สามารถใช้ได้กับรถแฮนด์พาเลท รถยกสูง และรถโฟล์คลิฟท์ 2.2 Double Face Pallet พาเลทพลาสติกแบบสองหน้า ทั้งด้านบนและด้านล่างของพาเลทจะเป็นพื้นที่ที่สามารถใช้วางสินค้าได้และตรงกลางจะมีขาของพาเลทเพื่อรองรับน้ำหนักซึ่งจะมีช่องว่างระหว่างขาเพื่อให้งาสามารถสอดเข้าไปได้คล้ายแซนด์วิช พาเลทพลาสติกชนิดนี้มีความแข็งแรงมากว่าพาเลทพลาสติกชนิดแรกแต่สามารถใช้งานได้เฉพาะรถโฟล์คลิฟท์เท่านั้น 2.3 Window-Cross Pallet พาเลทพลาสติกแบบช่องหน้าต่างมีรูปแบบเหมือนกับพาเลทพลาสติกแบบสองหน้า แต่ตรงกลางจะเป็นขาที่มีลักษณะกากบาททั้ง 4 ด้านไขว้กันและมีช่องว่างคล้ายช่องหน้าต่าง 4 ช่อง มีความแข็งแรงในการรองรับน้ำหนัก สามารถใช้กับรถโฟล์คลิฟท์และรถแฮนด์พาเลทได้ แบ่งตามการนำไปใช้งาน 3.1 พาเลทพลาสติกสำหรับส่งออก เป็นพาเลทพลาสติกชนิดที่สามารถซ้อนกันได้เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน มีน้ำหนักเบา สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 1,000 - 2,000 กิโลกรัม จึงนิยมใช้พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก PP เพราะมีน้ำหนักที่เบา แข็งแรง และราคาถูก 3.2 พาเลทพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมทั่วไปและส่งออก เป็นพาเลทพลาสติกที่ใช้ทั้งในอุตสาหกรรมทั่วไปและการส่งออก พาเลทพลาสติกที่ใช้ในลักษณะดังกล่าวจะมีด้านหน้าที่เรียบ และฉีดขึ้นรูปพลาสติกเนื้อเดียวทั้งแผ่นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการรองรับน้ำหนักของสินค้าแผ่นพื้นหนาประมาณ 50 มม. โดยสามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 3,000 – 4,500 กิโลกรัม 3.3 พาเลทพลาสติกสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่สามารถใช้พาเลทพลาสติกได้ทั้ง 3 ลักษณะคือ Single-Face Pallet, Double-Face Pallet และ Window-Cross Pallet ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้ในการยก-ย้าย หรือลักษณะของอุตสาหกรรมที่นำไปใช้งาน พาเลทพลาสติกชนิดนี้สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 3,000 - 6,000 กิโลกรัม 3.3 พาเลทพลาสติกสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น อุตสาหกรรมแป้ง, ข้าว, น้ำตาล, ปูนซีเมนต์ และเคมีภัณฑ์ เป็นพาเลทพลาสติกที่มีความหนามากกว่าพาเลทพลาสติกทั่วไป ทั้งขากลางของพาเลทและพื้นที่ที่รับน้ำหนัก ซึ่งสามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 6,000 – 8,000 กิโลกรัม นิยมใช้พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE เพื่อความแข็งแรงและทนทาน ขนาดมาตรฐานของพาเลทพลาสติก ขนาดของพาเลทพลาสติกเป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือกใช้ โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องมีการส่งออก เนื่องจากบางประเทศมีการกำหนดขนาดของพาเลทในการใช้งานเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายหรือกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ ซึ่งขนาดมาตรฐานของพาเลทพลาสติกที่นิยมใช้กันตามหลัก ISO มีอยู่ด้วยกัน 3 ขนาด คือ ขนาด 80 x 120 เซนติเมตร นิยมใช้ในกลุ่มประเทศยุโรป ขนาด 110 x 110 เซนติเมตร ใช้ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดขึ้นมา ขนาด 100 x 120 เซนติเมตร เป็นพาเลทขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากที่สุดในประเทศไทยและทั่วโลก วิธีการเลือกใช้พาเลทพลาสติก การเลือกใช้พาเลทพลาสติกให้เหมาะกับลักษณะของสินค้า น้ำหนัก เครื่องมือในการเคลื่อนย้าย และลักษณะในการใช้งานจะช่วยป้องกันและรักษาความปลอดภัยของสินค้าได้ดี เช่น พาเลทพลาสติกเหมาะกับการขนส่งทางเรือและใช้หมุนเวียนภายในองค์กร เพราะพาเลทพลาสติกมีความแข็งแรง ทนทาน พื้นผิวกันลื่น น้ำหนักเบา สามารถทนความชื้นและไม่เป็นสนิม ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้พาเลทพลาสติก น้ำหนัก/ขนาด/รูปแบบการจัดเก็บ การเลือกพาเลทพลาสติกควรเลือกให้มีความสอดคล้องกับปัจจัยทั้ง 3 เพราะจะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และปลอดภัยจากอุบัติเหตุในการใช้งาน เช่น ไม่ควรใช้พาเลทพลาสติกรองรับสินค้าที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่พาเลทพลาสติกกำหนดไว้เพราะอาจทำให้เกิดการแตกร้าวหรือหัก ซึ่งส่งผลให้สินค้าได้รับความเสียหาย ขนาดของพาเลทควรมีขนาดที่พอดีกับขนาดของสินค้าเพื่อช่วยป้องกันการตกหล่น หรือการวางสินค้าบนชั้นวางสินค้าหรือสินค้าถูกเก็บไว้ในห้องเย็นควรใช้พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE เพราะมีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกดทับของสินค้าและอุณหภูมิติดลบได้ดี เครื่องมือที่ใช้ในการยก-ย้าย ก่อนการเลือกพาเลทพลาสติกเพื่อนำมาใช้งานควรต้องวางแผนในการใช้งานและสำรวจเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการยก-ย้าย เนื่องจากพาเลทพลาสติกแต่ละชนิดสามารถใช้เครื่องมือในการยก-ย้ายได้แตกต่างกัน เช่น พาเลทพลาสติกแบบ Single Face Pallet สามารถใช้กับรถยกสูง รถลากพาเลท และรถโฟค์ลิฟท์ได้ ในขณะที่ Double Face Pallet สามารถใช้ได้เฉพาะกับรถโฟล์คลิฟท์เท่านั้น ความบ่อยในการเคลื่อนย้าย สินค้าที่วางไว้นาน ๆ กับสินค้าที่มีการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ ย่อมมีความแตกต่างในการเลือกใช้พาเลทพลาสติก เพราะสินค้าที่มีการวางไว้เป็นเวลานาน ๆ ย่อมต้องมีการกดทับของสินค้าจึงต้องเลือกใช้พาเลทพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ดี อาจจะเลือกใช้พาเลทพลาสติกที่ใช้กับงานที่หนักหรือผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE สำหรับสินค้าที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายบ่อย ต้องการความแข็งแรงแต่มีน้ำหนักที่เบา ก็อาจเลือกใช้พาเลทพลาสติกชนิดที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมทั่วไปและการส่งออก และพาเลทพลาสติกที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ประเทศปลายทางที่ส่งออก ในหลายประเทศมีการกำหนดขนาดของที่จะนำเข้ามาในประเทศ มีผลต่อการเลือกใช้พาเลทพลาสติก เช่น ประเทศในแถบยุโรปกำหนดขนาดของพาเลทพลาสติกที่จะเข้ามาสู่ประเทศคือขนาด 80 X 120 เซนติเมตร หรือประเทศญี่ปุ่นกำหนดขนาดไว้ที่ 110 X 110 เซนติเมตร หากขนาดของพาเลทพลาสติกไม่เป็นไปตามที่ประเทศนั้นกำหนดไว้ สินค้าจะถูกส่งกลับซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง หนึ่งในหลักการของการบริหารจัดการโลจิสติกส์คือความรวดเร็วและความปลอดภัยของสินค้าที่ส่งถึงปลายทาง โดยที่ยังช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสร้างผลกำไรตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ พาเลทพลาสติกเป็นหนึ่งกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจโลจิสติกส์ปรับตัวให้ทันกับการแข่งขัน สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งและตอบโจทย์ความรวดเร็วตามที่ลูกค้าต้องการได้ Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายพาเลทพลาสติกแบบหน้าเดียว มีความแข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้ง่าย ด้วยวัสดุคุณภาพที่เหมาะในการใช้งานในทุกอุตสาหกรรม ยินดีให้คำแนะนำในการเลือกใช้งานพร้อมบริการหลังการขายจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
มาตรฐานและการใช้งานพาเลทพลาสติกแต่ละประเภท

มาตรฐานและการใช้งานพาเลทพลาสติกแต่ละประเภทพาเลทพลาสติก เลือกใช้ให้ถูกต้อง มีมาตรฐาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานพาเลทพลาสติก คือ อุปกรณ์ที่ในการรองรับสินค้าเพื่อให้มีความสะดวกในการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ และขนส่งสินค้า พาเลทพลาสติก จึงต้องมีความแข็งแรงและทนทานเพื่อให้สามารถรองรับงานหนัก ๆ ได้ รวมไปถึงคุณสมบัติเพิ่มเติมต่าง ๆ ที่จะช่วยให้สามารถใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน สามารถทนทานต่ออุณหภูมิต่ำได้ดี ซึ่งพาเลทพลาสติกที่มีคุณสมบัติดังกล่าวเหมาะสมในการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนั้นการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ถูกนำเข้าไปในประเทศนั้น ๆ ยังต้องมีมาตรฐานตามที่แต่ละประเทศมีการ กำหนดเอาไว้ จึงทำให้พาเลทพลาสติกต้องมีคุณภาพและมาตรฐานเพื่อเป็นการการันตีความปลอดภัยในการใช้งาน รวมไปถึงการใช้งานที่ถูกต้องเนื่องจากพาเลทพลาสติกมีหลายประเภท มีความแตกต่างในการใช้งานร่วมกับเครื่องมือที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย การเลือกใช้งานพาเลทพลาสติกได้อย่างถูกต้องและมีมาตรฐานจะช่วยให้การใช้งานมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้ตัวอย่างมาตรฐานพาเลทพลาสติก ที่ควรมี!มาตรฐาน GMP สำหรับพาเลทพลาสติกที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมอาหารควรผ่านมาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรมอาหาร GMP เป็นหลักเกณฑ์ของการผลิตอาหารที่ดีในทุกขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่การก่อสร้างอาคารจนถึงการจัดส่งสินค้าเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการปนเปื้อนในอาหารและทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นพิษซึ่งเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารจึงต้องผ่านมาตรฐานของ GMP ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงพาเลทพลาสติกเพราะเป็นอุปกรณ์ที่มีความใกล้ชิดกับบรรจุภัณฑ์อาหารเมื่อมีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ หรือขนส่ง ซึ่งตามมาตรฐาน GMP อุปกรณ์ที่จะผ่านมาตรฐานควรเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน ไม่เป็นสนิม มีความแข็งแรง ทนทานในการใช้งาน สะอาด และถูกสุขอนามัย เพื่อลดอันตรายต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนด้านกายภาพ จุลินทรีย์และเคมีในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อให้อาหารนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นมาตรฐาน HACCP เป็นระบบประกันคุณภาพที่สูงกว่า GMP ซึ่งเป็นระบบการจัดการคุณภาพด้านความปลอดภัย ที่ครอบคลุมถึงการป้องกันอันตรายที่มาจาก 3 สาเหตุ คืออันตรายทางชีวภาพ เช่น อันตรายจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคหรือสารพิษ, อันตรายจากสารเคมี เช่น, สารเร่งการเจริญเติบโต, สารกันบูด และอันตรายทางกายภาพ เช่น เศษพลาสติก, เศษแก้ว เศษกระจก, เศษไม้ ซึ่งในกระบวนการผลิตพาเลทและลังที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมอาหารก็ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน HACCP ก่อนที่จะนำมาใช้งาน เนื่องจากกระบวนการผลิตพาเลทพลาสติกต้องมีการเกี่ยวข้องกับเม็ดพลาสติกและสารเคมี รวมถึงกระบวนการผลิตที่อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนได้จึงต้องมีการควบคุมความปลอดภัยทั้งวัสดุและกระบวนการผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสารพิษในพาเลทพลาสติกอาจส่งต่อไปยังบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ห่อหุ้มอาหารทำให้อาหารเกิดการปนเปื้อนได้ เพื่อให้ได้มาตรฐานทั้งความแข็งแรงและทนทานในการใช้งานเพื่อป้องกันการแตกหัก ตามมาตรการของมาตรฐาน HACCP จะมีการวิเคราะห์จุดอันตรายในทุกขั้นตอนของพาเลทพลาสติกเพื่อหาจุดวิกฤต หากมีจุดวิกฤตจะถูกควบคุมความอันตรายที่จะเกิดขึ้นให้อยู่ภายใต้เกณฑ์ที่กำหนดโดยจะมีการกำหนดแผนการทดสอบ การเฝ้าระวัง การกำหนดมาตรการบันทึกข้อมูลและจัดเก็บเอกสารเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง โดยกระบวนการทั้งหมดต้องได้รับการดูแล ให้คำปรึกษา และการตัดสินใจจากผู้เชี่ยวชาญจาก HACCPมาตรฐาน ISO 9001: 2015 เป็นมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นระบบบริหารที่ช่วยให้โรงงานอุตสาหกรรมผลิตพาเลทพลาสติกสามารถผลิตพาเลทพลาสติกได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001-2015 จะช่วยสร้างระบบในกระบวนการทำงานให้มีความชัดเจน มีการตรวจสอบ และปรับปรุงองค์กรตลอดเวลาเป็นการพัฒนาที่ส่งผลถึงคุณภาพของพาเลทพลาสติก ทำให้พาเลทพลาสติกมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด คือ มีความแข็งแรง ทนทานทั้งต่ออุณหภูมิที่ร้อนจัด เย็นจัด สารเคมี กรด ด่าง และรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายเมื่อนำไปใช้งานมาตรฐาน JIS เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมญี่ปุ่นที่มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิตภายในประเทศ ตั้งแต่ส่วนประกอบ วัตถุดิบ คุณสมบัติ และกระบวนการผลิต ซึ่งมาตรฐาน JIS จะมีการแบ่งแยกรหัสออกเป็นหลายรหัสตามประเภทของกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งพาเลทพลาสติกที่ได้รับมาตรฐาน JIS จะได้รับการตรวจสอบคุณภาพและมีการทดสอบเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยในการใช้งาน โดยการทดสอบมาตรฐานพาเลทพลาสติกตามมาตรฐาน JIS มีการทดสอบหลัก ๆ อยู่ 3 การทดสอบ คือComputerized bending & compression test เป็นการทดสอบการแอ่นตัวและการแตกร้าวของพาเลทพลาสติกเมื่อรับน้ำหนักตามที่กำหนดไว้ เช่น พาเลทพลาสติก Single Face Pallet แผ่นนี้สามารถรับน้ำหนักได้ 2,000 กิโลกรัม โดยจะทดสอบการรับน้ำหนักของพาเลทพลาสติก ณ ขณะที่อยู่กับที่ (Static Load) เมื่อมีการเคลื่อนย้าย (Dynamic Load) และเมื่อวางไว้บนชั้นวางสินค้า (Racking Load) ซึ่งจะวางพาเลทพลาสติกที่ต้องการทดสอบไว้บนเครื่องกด (Pressing Dynamic) และเครื่องกดจะใช้แผ่นเหล็กกดลงบนพาเลทพลาสติก ซึ่งแรงกดจะมีน้ำหนักตามที่มีการกำหนดไว้สำหรับพาเลทพลาสติกแผ่นนี้ เพื่อทดสอบการไม่แตกร้าวหรือการแอ่นตัวของพาเลทพลาสติก ต้องไม่เกินจากที่มาตรฐานกำหนดคือ 10 มม. หรือ 1 เซนติเมตร โดยการทดสอบจะใช้อุปกรณ์ในการทดสอบให้เหมือนการใช้งานจริงทั้งหมดSidewall fork tip impact test เป็นการทดสอบความเหนียวของผนังด้านข้างพาเลทพลาสติกทั้ง 4 ด้านซึ่งจะใช้แรงกระแทกจากเหล็กในการทดสอบ โดยจะวางพาเลทพลาสติกที่ต้องการทดสอบลงบนรถเลื่อนเพื่อให้รถเลื่อนนำพาเลทพลาสติกไปกระแทกกับแท่งเหล็กหลังจากกระแทกแล้วพาเลทพลาสติกไม่มีรอยแตกร้าวก็ถือได้ว่าผ่านการทดสอบ โดยการทดสอบจะใช้อุปกรณ์ในการทดสอบให้เหมือนการใช้งานจริงทั้งหมดDrop Test เป็นการทดสอบการต้านทานแรงตกกระแทกจากที่สูง โดยการทดสอบจะนำพาเลทพลาสติกแผ่นที่ต้องการทดสอบไปแขวนหรือถือไว้บนที่สูงประมาณ 1 เมตร โดยการแขวนหรือถือต้องให้มุมของพาเลทพลาสติกเป็นจุดกระทบพื้น และก็ปล่อยพาเลทพลาสติกลงบนพื้นหากหลังจากทดสอบแล้วพาเลทพลาสติกไม่มีการแตกร้าวก็ถือว่าผ่านการทดสอบ โดยการทดสอบจะใช้อุปกรณ์ในการทดสอบให้เหมือนการใช้งานจริงทั้งหมดการทดสอบคุณภาพมาตรฐานของพาเลทพลาสติกตามมาตรฐาน JIS สามารถทำการทดสอบได้มากกว่าที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างน้อยควรผ่านการทดสอบ 3 การทดสอบหลัก ๆ ที่กล่าวมาเพื่อเป็นการยืนยันถึงคุณภาพมาตรฐานของพาเลทพลาสติกแผ่นนั้นว่าเหมาะสมในการใช้งานการใช้งานพาเลทพลาสติกประเภทของพาเลทพลาสติกที่แบ่งตามลักษณะกายภาพมีด้วยกัน 3 ประเภท ซึ่งใช้เครื่องมือในการเคลื่อนย้ายที่แตกต่างกันSingle Face Pallet เป็นประเภทของพาเลทพลาสติกที่สามารถวางสินค้าได้แค่หน้าเดียวโดยด้านล่างจะเป็นขาที่ใช้รองรับน้ำหนักและมีช่องเพื่อให้งาสอดเข้าไปเพื่อยก-ย้ายพาเลท พาเลทพลาสติกหน้าเดียวสามารถใช้งานกับ รถแฮนด์พาเลท รถยกสูง และรถโฟล์คลิฟท์ได้Double Face Pallet พาเลทพลาสติกแบบสองหน้าที่ทั้งสองด้านสามารถใช้วางสินค้าได้ และตรงกลางของพาเลทพลาสติกมีขาเพื่อรองรับน้ำหนักและมีช่องว่างเพื่อให้งาสอดเข้าไปเพื่อยก-ย้าย สามารถใช้งานได้กับรถโฟล์คลิฟท์เท่านั้นWindow-Cross Pallet มีรูปแบบเหมือนกับพาเลทพลาสติกแบบสองหน้า แต่ตรงกลางจะเป็นขาที่มีลักษณะกากบาททั้ง 4 ด้านไขว้กันจึงทำให้มีช่องว่าง 4 ช่อง สามารถใช้กับรถโฟล์คลิฟท์และรถแฮนด์พาเลทได้ข้อควรระวังในการใช้งานพาเลทพลาสติกข้อควรระวังในการใช้งานช่วยให้พาเลทพลาสติกมีอายุการใช้งานยาวนานมากยิ่งขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยมีดังนี้ไม่ควรบรรทุกสินค้าเกินกว่าที่ระบุไว้ เพื่อลดความเสี่ยงของการแตกหักและความปลอดภัยในการใช้งานไม่ควรวางสินค้ากระจุกไว้ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ตรงกลาง, ด้านซ้าย หรือ ด้านขวา เพราะทำให้พาเลทพลาสติกเกิดการผิดรูปหรือเกิดการยุบตัวได้ควรเลือกใช้พาเลทพลาสติกให้เหมาะสม เช่น สินค้าที่เป็นน้ำมัน สารเคมี ควรเลือกใช้พาเลทพลาสติกที่สามารถทนทานต่อสารดังกล่าวได้เพราะสารดังกล่าวสามารถทำให้พาเลทมีคุณภาพที่ลดลงได้ หรือพาเลทพลาสติกที่ใช้ในห้องเย็น ควรทนทานต่ออุณหภูมิติดลบได้ดีหลีกเลี่ยงการใช้พาเลทพลาสติกที่ชำรุด อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ควรเก็บให้ห่างจากวัตถุไวไฟ พื้นที่ที่มีแดดจัด หรือกลางแจ้ง เพราะอาจทำให้เกิดการละลายหรือผิดรูปและเสื่อมคุณภาพได้ห้ามดัดแปลงพาเลทพลาสติก เช่น การเจาะหรือการตัด เพราะจะทำให้คุณสมบัติทางกายภาพลดลงJenstore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายพาเลทพลาสติกจัดเก็บแบบหน้าเดียว ที่มีคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้ง่าย นอกจากนั้นยังจำหน่ายเครื่องมือในการเคลื่อนย้าย เช่น รถยกไฟฟ้า, รถลากพาเลท, รถลากจูงไฟฟ้า รถยกลาก ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกันกับพาเลทพลาสติกได้ พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ยินดีให้คำแนะนำในการใช้งานและบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพสนใจสินค้าติดต่อเราWebsite : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
พาเลทพลาสติกรีไซเคิล หนึ่งองค์ประกอบสู่กรีน โลจิสติกส์

พาเลทพลาสติกรีไซเคิล หนึ่งองค์ประกอบสู่กรีน โลจิสติกส์ พาเลทพลาสติกรีไซเคิล การใช้งานแบบหมุนเวียนที่ช่วยลดมลพิษ พาเลท เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในงานโลจิสติกส์มีไว้สำหรับรองสินค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ถ่ายเท หรือขนส่งสินค้า ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีจำนวนมาก ๆ ได้พร้อมกัน จึงช่วยประหยัดทั้งแรงงาน เวลา และต้นทุนของธุรกิจ ชนิดของพาเลทที่ใช้ในงานโลจิสติกส์มีหลายประเภท แต่ชนิดของพาเลทที่เป็นที่นิยมในการใช้งานคือ พาเลทไม้และพาเลทพลาสติก พาเลทไม้เป็นพาเลทที่ผลิตจากไม้ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติมีความแข็งแรงและราคาถูก สามารถซ่อมแซมได้เมื่อเกิดความเสียหาย แต่พาเลทพลาสติกผลิตจากเม็ดพลาสติกที่เกิดจากการสร้างขึ้นมาจึงทำให้สามารถกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการได้ พาเลทพลาสติกจึงมีความแข็งแรง ทนทานต่ออุณหภูมิโดยเฉพาะอุณหภูมิติดลบ ทนทานต่อสารเคมี กรด ด่าง ความชื้น มีน้ำหนักเบา แมลงไม่สามารถกัดแทะและเชื้อราไม่สามารถเจริญเติบโตได้ สามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้งานใหม่หรือรีไซเคิลพาเลทพลาสติกที่เสียหายไม่สามารถใช้งานได้แล้วให้นำกลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้ง ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้พาเลทพลาสติกมีราคาที่สูงกว่าพาเลทไม้ ซึ่งในการใช้งานโลจิสติกส์ต้องใช้พาเลททั้งสองชนิดเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลกระทบต่อธรรมชาติทั้งการตัดไม้ทำลายป่าและการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งโลกต้องเจอวิกฤตจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงโลจิสติกส์ด้วยเช่นกันทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมที่จะช่วยให้การใช้พาเลทก่อให้เกิดผลเสียต่อธรรมชาติให้น้อยมากที่สุดเพื่อให้ก้าวไปสู่กรีน โลจิสติกส์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะพาเลทพลาสติกที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ย่อยสลายได้ยาก สามารถอยู่ได้เป็นหลายร้อยปี อีกทั้งหากกำจัดอย่างไม่ถูกวิธีก็ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและสร้างปริมาณขยะจำนวนมากจนโลกต้องเจอวิกฤตของขยะล้นโลกเหมือนในปัจจุบัน พาเลทพลาสติกรีไซเคิล นวัตกรรมรักษ์โลก พาเลทพลาสติกที่ใช้ในประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด PP และ HDPE ซึ่งในปัจจุบันเม็ดพลาสติกที่ใช้ในการผลิตพาเลทพลาสติกจะเป็นเม็ดพลาสติกที่เกิดจากการรีไซเคิลจากพาเลทพลาสติกที่ใช้แล้วหรือที่แตกร้าวนำมาผลิตพาเลทพลาสติกใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้มีการใช้สารเติมแต่งเพื่อให้ได้พาเลทพลาสติกที่มีคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพดีดังเดิม ซึ่งวิธีดังกล่าวช่วยลดจำนวนขยะพาเลทพลาสติกที่เสียหายหรือไม่สามารถนำมาใช้งานได้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเม็ดพลาสติกมีน้ำมันเป็นวัตถุดิบซึ่งเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปและยังเป็นวัตถุดิบที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน นอกจากใช้พาเลทพลาสติกรีไซเคิลแล้วยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ได้พาเลทพลาสติกที่มีประสิทธิภาพและไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยีดังกล่าวได้ผลิตเม็ดพลาสติกที่ช่วยให้พาเลทพลาสติกมีความทนทานต่อแรงกด ทนทานต่อการเสียรูป ทนทานต่อการตกกระแทก และทนทานอุณหภูมิต่ำได้ดี อีกทั้งยังมีความแข็งแรงและความเหนียวมากขึ้น มีน้ำหนักเบา อีกทั้งยังฉีดขึ้นรูปพาเลทได้ง่าย เซตตัวได้เร็ว และใช้จำนวนเม็ดพลาสติกในการผลิตที่น้อยกว่าเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไป ส่งผลให้พาเลทพลาสติกที่ได้ไม่มีฟองอากาศ ไม่มีรอยยุบ รอยย่น จึงช่วยลดปริมาณของพาเลทพลาสติกที่ไม่ได้มาตรฐานและยังช่วยประหยัดพลังงานในการผลิต ที่สำคัญเมื่อนำกลับมารีไซเคิลใหม่พาเลทพลาสติกที่ได้ยังคงมีความแข็งแรงในการใช้งานเหมือนเดิมและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญแม้แต่กระบวนการในการผลิตเม็ดพลาสติกยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้ระบบควบคุมของเสียโดยใช้หลัก 3 Rs เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและไม่มีการปล่อยน้ำเสียจากการผลิตไปสู่แหล่งน้ำของชุมชนรอบโรงงานอีกด้วย สำหรับในต่างประเทศก็มีการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ อย่างบริษัทโลจิสติกส์ในประเทศอินโดนีเซียที่มีการใช้งานพาเลทไม้ในงานโลจิสติกส์เป็นส่วนใหญ่ ก็พบกับปัญหาในการใช้งาน เช่น ไม่มีความทนทานต่ออุณหภูมิและความชื้นสูง ผุพังง่ายและอาจเป็นตัวล่อแมลง ดังนั้นจึงได้มีการหันมาใช้พาเลทพลาสติกโดยมีความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและต้องการให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงมีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตพาเลทพลาสติกจากพลาสติกรีไซเคิลและนำมาใช้ในศูนย์กระจายสินค้าที่อินโดนีเซีย มีชื่อเรียกว่า “พาเลทแบบคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” เป็นการนำพลาสติกที่เหลือจากการผลิตภาชนะสุญญากาศปริมาณ 12 ตันมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพาเลทพลาสติก ซึ่งผลิตออกมาได้จำนวน 400 พาเลท มีคุณสมบัติที่มีความทนทานและมีอายุการใช้ที่ยาวนาน เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 67.3 กิโลกรัมต่อพาเลท และการผลิตพาเลทพลาสติกโดยใช้พลาสติกรีไซเคิลยังใช้ต้นทุนในการผลิตใกล้เคียงกับพาเลทพลาสติกมาตรฐานทั่วไป อินโดนีเซียจึงมองเห็นช่องทางในการลดคาร์บอนในชั้นบรรยากาศจึงมีแผนที่จะหาพลาสติกเหลือใช้คุณภาพสูงมาใช้ผลิตพาเลทพลาสติกชนิดใหม่นี้ เพื่อนำไปใช้ที่ศูนย์กระจายสินค้าอื่น ๆ ทั่วโลก ธุรกิจโลจิสติกส์ของหลายประเทศกำลังก้าวเข้าสู่กรีน โลจิสติกส์ จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยให้โลกสามารถฟื้นฟูกลับมาสู่สมดุลอีกครั้ง นวัตกรรมสำหรับพาเลทพลาสติกรีไซเคิลเป็นเพียงกลไกหนึ่งที่จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติให้มากที่สุด แต่ยังมีศักยภาพมากพอที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับธุรกิจได้ โดยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาให้พาเลทพลาสติกเป็นอุปกรณ์ในการวางสินค้าที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้ โดยที่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เพื่อให้ธุรกิจโลจิสติกส์ยังสามารถดำเนินธุรกิจและเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนบนโลกใบเดิม Jenstore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายพาเลทพลาสติกจัดเก็บแบบหน้าเดียว, พาเลทพลาสติก ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม นอกจากนั้นยังจำหน่ายอุปกรณ์ในการจัดเก็บ เช่น กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก ที่ผลิตจากพลาสติกคุณภาพสูง ไม่มีกลิ่นฉุน พร้อมบริการหลังการขายจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยช่วยให้ท่านใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องวัดอุณหภูมิประเภทต่าง ๆ และการใช้งาน

เครื่องวัดอุณหภูมิประเภทต่าง ๆ และการใช้งาน เครื่องวัดอุณหภูมิ อุปกรณ์ที่สำคัญที่ทุกอุตสาหกรรมต้องมี ตัวเลขบนเครื่องวัดอุณหภูมิเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าวัตถุที่ถูกวัดมีอุณหภูมิเท่าไร ร้อน เย็น หรือมีความชื้น เพื่อบอกว่าอุณหภูมิมีความเหมาะสม ปกติหรือผิดปกติหรือไม่ เครื่องวัดอุณหภูมิสามารถวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่อาหาร ของเหลว ก๊าซ โลหะ หรือแม้แต่มนุษย์ เครื่องวัดอุณหภูมิมีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่สำคัญ 2 องค์ประกอบคือ เซนเซอร์ที่ไว้สำหรับตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของวัตถุ และอุปกรณ์ที่ไว้แสดงข้อมูลอุณหภูมิ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องวัดอุณหภูมิให้มีความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เช่น มีระบบปิดอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน, มีระบบบันทึกค่าอุณหภูมิที่วัดครั้งล่าสุด และมีการประมวลผลที่มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น หน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้ในระดับสากลมีด้วยกัน 3 หน่วย คือ องศาเซลเซียส, ฟาเรนไฮต์ และเคลวิน เครื่องวัดอุณหภูมิที่มีการใช้งานในปัจจุบันมีหลากหลายชนิดแต่สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะในการใช้งานซึ่งมีผลต่อการตั้งค่าความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิเป็นอย่างมาก ประเภทของเครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับทางการแพทย์ ใช้สำหรับวัดไข้เป็นการตรวจหาสิ่งผิดปกติของร่างกายเบื้องต้นเพื่อให้สามารถทำการรักษาได้ถูกต้องและทันท่วงที เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำมากที่สุด ซึ่งเครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับทางการแพทย์มีด้วยกันอยู่ 3 ชนิด  อินฟราเรดเทอร์โมมิเตอร์ เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำมากที่สุด โดยมีค่าแม่นยำที่ ±0.3 องศาเซลเซียส วัดอุณหภูมิโดยที่ไม่ต้องสัมผัสร่างกาย แต่วัดอุณหภูมิโดยการใช้รังสีความร้อนที่ปล่อยออกมาจากร่างกาย ในการใช้อินฟราเรดเทอร์โมมิเตอร์จะมีการกำหนดจุดสำหรับวัดอุณหภูมิด้วยแสงเลเซอร์ สามารถวัดอุณหภูมิในระยะไกลได้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มีความปลอดภัยต่อการติดเชื้อโรค แถบอุณหภูมิ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิที่นิยมใช้ในกรณีที่โรงพยาบาลต้องการวัดอุณหภูมิของผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว โดยเครื่องวัดอุณหภูมิชนิดนี้จะมีแถบอุณหภูมิที่มีผลึกเหลวซึ่งเป็นสารเคมีที่แตกต่างกันอยู่บนพื้นผิวกระดาษดูดซับพิเศษ ที่ตอบสนองต่อความร้อนโดยการเปลี่ยนสี โดยแต่ละสีจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งการวัดแถบอุณหภูมิจะวัดที่บริเวณหน้าผากใช้เวลาอย่างน้อย 15 วินาที หรือจนกระทั่งสีที่ปรากฏขึ้นไม่เปลี่ยนสี หลังจากใช้งานเสร็จสามารถเช็ดทำความสะอาด หรือล้างด้วยสบู่หรือน้ำก็ได้แต่อย่านำไปแช่น้ำโดยเด็ดขาด นอกจากนี้แถบวัดอุณหภูมิยังใช้วัดมอเตอร์หรือเครื่องจักรในงานอุตสาหกรรมได้อีกด้วย ปรอทวัดไข้ เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่นิยมในการใช้งาน มีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบแก้วและแบบดิจิทัลแต่ในปัจจุบันนิยมใช้แบบดิจิทัลมากกว่าเนื่องจากมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่าแบบแก้วเนื่องจากภายในของกระเปาะแก้วจะบรรจุปรอทไว้เพื่อใช้วัดอุณหภูมิ หากมีการแตก หัก จะทำให้สารปรอทรั่วออกมาจนเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้ ในปัจจุบันก็ไม่เป็นที่นิยมในการใช้งาน ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัลจะใช้ระบบเซนเซอร์ในการตรวจจับอุณหภูมิซึ่งมีค่าความแม่นยำอยู่ที่ 1-2 องศาเซลเซียส โดยสามารถใช้วัดได้ทั้งทางปากหรือรักแร้ แต่การใช้งานควรหลีกเลี่ยงน้ำ ของเหลว หรือการตกจากที่สูง เพราะอาจทำให้เซนเซอร์มีความคลาดเคลื่อนได้ เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร ใช้ในการตรวจสอบอุณหภูมิของอาหารในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอุณหภูมิที่ได้มีความเหมาะสมหรือปลอดภัยสำหรับการรับประทาน เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารสามารถวัดอุณหภูมิอาหารได้ทั้งภายในและภายนอกของอาหาร ซึ่งสามารถวัดชิ้นอาหาร ของเหลว หรืออุณหภูมิในการปรุงอาหาร จึงทำให้เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารมีหลายประเภทเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ โดยเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารมีด้วยกัน 4 ประเภทคือ1.1 เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด เป็นการวัดอุณหภูมิจากความร้อนของผิวด้านนอก สามารถใช้ตรวจสอบอุณหภูมิได้ทั้งระหว่างการปรุงอาหาร เช่น วัดความร้อนของน้ำ หรืออาหารที่ปรุงสุกแล้ว เพื่อตรวจเช็ก อุณหภูมิว่ามีความเหมาะสมในการใช้งานและความปลอดภัยในการรับประทานหรือไม่ 1.2 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเข็ม จะมีลักษณะเป็นแท่งสแตนเลสยาว แหลม และมีตัวบอกอุณหภูมิเป็นดิจิทัล สามารถวัดอุณหภูมิได้ทั้งเนื้อสัตว์และน้ำ โดยจะใช้สแตนเลสปลายแหลมแทงเข้าไปที่เนื้อสัตว์ตั้งแต่การปรุงอาหารจนกว่าจะได้อุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อปรุงอาหารให้สุกและมีเนื้อสัมผัสที่ต้องการ เพราะหากรับประทานอาหารดิบโดยเฉพาะเนื้อหมูและสัตว์ปีกจะมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ 1.3 เครื่องวัดอุณหภูมิไบเมทัล จะมีลักษณะคล้ายเครื่องวัดอุณหภูมิแบบเข็มแต่จะเป็นแท่งโลหะสองแท่งที่ทำจากโลหะ 2 ชนิด มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของโลหะทั้งสองจะมีการบิดงอที่แตกต่างกัน โดยที่ตัวบอกอุณหภูมิจะเป็นแบบเข็มนาฬิกา นิยมใช้วัดอุณหภูมิที่เป็นของเหลว เช่น น้ำมัน เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมในการปรุงอาหาร เครื่องวัดอุณหภูมิไบเมทัลเหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิที่มีค่าสูง ๆ ประมาณ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป แต่จะมีความแม่นยำที่น้อยในอุณหภูมิที่ต่ำ 1.4 เครื่องวัดอุณหภูมิในเตาอบ จะมีหน้าปัดเหมือนเข็มนาฬิกาจะมีทั้งแบบที่เป็นขาตั้งและมีตะขอเพื่อวางหรือแขวนในเตาอบ เครื่องวัดอุณหภูมิในเตาอบจะใช้ตรวจสอบการกระจายความร้อนและวัดอุณหภูมิในเตาอบให้ได้อุณหภูมิตามที่ต้องการเพื่อให้ได้อาหารที่มีคุณภาพที่ดีและอร่อยในการรับประทาน เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารควรผ่านมาตรฐานของ GMP และ HACCP เพื่อให้ได้เครื่องมือที่มีคุณภาพทั้งความแม่นยำและความปลอดภัยในการใช้งาน เทอร์โมสแกน มีอีกชื่อเรียกว่ากล้องถ่ายภาพความร้อนหรือกล้องอินฟราเรด เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่จะแสดงค่าพลังงานความร้อนเป็นภาพแสงที่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับใช้วิเคราะห์อุณหภูมิ เทอร์โมสแกนเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำสูง เพราะมีความไวต่อความยาวคลื่นตั้งแต่ 1,000 นาโนเมตรถึงประมาณ 14,000 นาโนเมตร จึงใช้ความร้อนเพียงเล็กน้อยในการทำงาน เหมาะสำหรับงานด้านอุตสาหกรรม ซ่อมบำรุงด้านไฟฟ้า เครื่องจักรกล และการตรวจหารอยรั่วของน้ำในผนังที่ตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเทอร์โมสแกนมีด้วยกัน 2 ประเภท 2.2.1 เทอร์โมสแกนแบบระบายความร้อน เครื่องวัดอุณหภูมิชนิดนี้จะต้องมีการระบายความร้อนเพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสะสมจนทำให้เกิดการ “ตาบอด” หรือระบบท่วมไปด้วยรังสี จะทำให้กล้องไม่สามารถทำงานต่อไปได้และต้องใช้เวลานานในการลดความร้อนจึงจะเริ่มทำงานได้ใหม่อีกครั้ง 2.2.2 เทอร์โมสแกนที่ไม่มีการระบายความร้อน เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิเป็นที่นิยมในปัจจุบัน จะใช้เซนเซอร์ในการเปลี่ยนแปลงความต้านทานแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าเมื่อได้รับความร้อนจากรังสีอินฟราเรด จากนั้นจะถูกวัดและเปรียบเทียบกับค่าอุณหภูมิของเซนเซอร์และแสดงออกมาเป็นรูปภาพ เซนเซอร์อินฟราเรดที่ไม่มีการระบายความร้อน สามารถปรับอุณหภูมิให้เสถียรในการทำงานได้เพื่อลดสัญญาณรบกวนของภาพ และเทอร์โมสแกนชนิดนี้ยังมีขนาดที่เล็กและมีราคาที่ย่อมเยา มานอเมตริก เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่วัดการเปลี่ยนแปลงความดันภายในก๊าซและของเหลว เหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิในก๊าซแอลกอฮอล์ คลอโรมีเทน หรือของเหลวชนิดต่าง ๆ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัล เป็นระบบเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ มีหน้าจอแบบดิจิทัลเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัลมีเทอร์มิสเตอร์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่แม่นยำและมีการแสดงผลที่รวดเร็ว จึงนิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิห้อง ตู้เย็น เป็นต้น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด มีระบบการทำงานและการใช้งานเหมือนเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์ สามารถวัดอุณหภูมิในระยะไกลได้ มีขนาดเล็กและพกพาได้ง่าย แต่จะมีความแม่นยำน้อยกว่าเครื่องมืออุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์ เนื่องจากมีระยะวัดอุณหภูมิที่กว้างกว่าเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่มีอุณหภูมิสูง เครื่องวัดอุณหภูมิมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการตรวจสอบความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นทั้งงานทางด้านการแพทย์และงานด้านอุตสาหกรรม ซึ่งเครื่องมือวัดอุณหภูมิสามารถป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น โดยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นการเลือกใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิจึงต้องเลือกที่มีมาตรฐานและคุณภาพเพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบโดยควรได้รับมาตรฐาน มอก. หรือ ISO เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายและผลิตเครื่องวัดอุณหภูมิ, เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น, กล้องถ่ายภาพความร้อน, เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด, เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร ผลิตจากวัสดุพิเศษ คุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน ใช้งานง่าย และมีความแม่นยำภายใต้แบรนด์คุณภาพ พร้อมบริการหลังการขายที่จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เคล็ด (ไม่) ลับวิธีใช้งานและการดูแลรักษาเครื่องมือช่างให้ใช้งานได้ยาวนาน

เคล็ด (ไม่) ลับวิธีใช้งานและการดูแลรักษาเครื่องมือช่างให้ใช้งานได้ยาวนาน เพิ่มอายุให้เครื่องมือช่างต้องเลือกใช้อย่างถูกต้องและเก็บรักษาอย่างถูกวิธี เครื่องมือช่างไอเทมสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมหรือบำรุงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องมือช่างมักเป็นอุปกรณ์ติดบ้านที่ทุกบ้านต้องมีหรือแม้แต่ในโรงงานอุตสาหกรรมก็ยังต้องมีเครื่องมือช่างไว้ใช้ในการซ่อมแซมหรือบำรุงเครื่องจักรเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เครื่องมือช่างจึงต้องรับบทหนักในการทำงานและเป็นเครื่องมือที่ต้องมีความพร้อมตลอดเวลา การดูแลรักษาเครื่องมือช่างจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับช่างซ่อมบำรุงหรือช่างประจำบ้านเพราะถ้าเครื่องมือช่างมีสภาพที่สมบูรณ์ตลอดเวลาจะช่วยให้สามารถซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงทีและยังช่วยยืดอายุของเครื่องมือช่างให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการใช้งานหากใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่ถูกประเภทของงานจะทำให้เครื่องมือช่างได้รับความเสียหายและก่อให้เกิดอันตรายที่ไม่สามารถคาดคิดได้ ดังนั้นก่อนใช้งานเครื่องมือช่างควรทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องมือช่างเพื่อให้นำไปใช้งานและดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง ประเภทของเครื่องมือช่าง การใช้งาน และวิธีดูแลรักษา เครื่องมือช่างประเภทงานเจาะ มีหน้าที่เจาะให้วัตถุอย่างเช่น ไม้, ปูน พลาสติก หรือเหล็กเกิดช่องว่างเพื่อใส่นอต สกรู หรือเดือยเข้าไป ซึ่งงานเจาะมีหลายประเภท เช่น งานเจาะกระแทก, งานเจาะรู ตัวอย่างของเครื่องมือช่างประเภทเจาะได้แก่ สว่าน สว่านจะมีลักษณะคล้ายปืนส่วนปลายจะมีเหล็กยื่นออกมาเรียกว่า “ดอกสว่าน” เอาไว้เจาะวัตถุที่ต้องการบางรุ่นของสว่านสามารถเปลี่ยนดอกสว่านหลายขนาดได้ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสว่านและดอกสว่านมีหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ประเภทของสว่าน 1. สว่านมือหรือสว่านเฟือง ใช้สำหรับเจาะรูขนาดเล็ก 2. สว่านไฟฟ้า ใช้สำหรับเจาะวัสดุชนิดต่าง ๆ เช่น คอนกรีต, ปูน, โลหะ, ไม้ และพลาสติก มีความรวดเร็วในการเจาะ และใช้งานสะดวก ใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน 3. สว่านข้อเสือ มีลักษณะเป็นรูปตัวยู มีคันหมุน นิยมใช้ร่วมกับดอกสว่านที่มีขนาดระหว่าง ¼ -1 นิ้วนิยมใช้ในงานไม้ ประเภทของดอกสว่าน 1. ดอกสว่านเจาะไม้ ส่วนปลายของดอกสว่านจะแหลมคล้ายหางปลาเพื่อลดการแกว่ง ขนาดของดอกสว่านชนิดนี้ที่นิยมใช้กันคือ 5,6 หรือ 8 มิลลิเมตร ใช้ในการเจาะไม้ที่ไม่ได้มีขนาดที่กว้าง แต่มีข้อควรระวังดอกสว่านเจาะไม้ผลิตจากคาร์บอนต่ำ ทำให้ไม่สามารถทนความร้อนได้ 2. ดอกสว่านเจาะเหล็ก เป็นดอกสว่านที่สามารถเจาะได้หลายวัสดุ เช่น เหล็ก, อลูมิเนียม, ไม้เนื้ออ่อน พลาสติก จึงทำให้ดอกสว่านเจาะเหล็กมีหลายชนิด เช่น ดอกสว่านชุบดำ, ดอกสว่านไฮสปีด, ดอกสว่านไฮสปีดเคลือบไทเทเนียม, ดอกสว่านเจาะสแตนเลส, ดอกสว่านทรงเจดีย์ และดอกสว่านโฮวซอร์เจาะเหล็ก 3.ดอกสว่านเจาะปูนหรือเจาะคอนกรีต ลักษณะของดอกสว่านจะเป็นเกลียวบิด ส่วนปลายดอกเป็นเหล็กชุบแข็งพิเศษ ช่วยในการรองรับแรงกระแทกจากการใช้งาน ใช้ในการเจาะปูน ซีเมนต์ บล็อก หรืออิฐ เป็นต้น ชนิดของดอกสว่านเจาะปูนหรือคอนกรีต เช่น ดอกสว่านเจาะคอนกรีตก้านกลม, ดอกสว่านโรตารี่, ดอกสว่านโฮลซอว์เจาะคอนกรีต การใช้งาน • ควรตรวจสอบสว่านทุกครั้งก่อนใช้งาน • ควรเลือกสว่านและดอกสว่านให้เหมาะสมกับวัสดุที่ต้องเจาะและการนำไปใช้งาน • ก่อนเจาะควรตอกเหล็กนำศูนย์ตามตำแหน่งที่ต้องการและควรจับชิ้นงานให้แน่นก่อนทำการเจาะ • ออกแรงให้สัมพันธ์กับการหมุน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเอง • หากต้องการเจาะให้ทะลุควรมีวัสดุรองรับ • ในขณะใช้งานไม่ควรใช้มือดึงเศษวัสดุออก • ถ้าสว่านเกิดติดขัดกับรูเจาะควรปิดสวิตช์ทันที วิธีดูแลรักษา • ใช้หินเจียรเพื่อลับดอกสว่านให้คมอยู่เสมอ • หลังจากใช้งานทุกครั้งควรถอดดอกสว่านออกแล้วหมุนหัวจับดอกสว่านให้เข้าที่ • ควรทาจาระบีที่เฟืองและหัวจับดอกสว่านเดือนละครั้งเพื่อป้องกันการเกิดสนิม • ควรทำความสะอาดสว่านทุกครั้งหลังการใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้เศษวัสดุต่าง ๆ มาติดที่มอเตอร์ • ควรจัดเก็บสว่านและดอกสว่านในตู้เก็บเครื่องมือช่างเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน เครื่องมือช่างสำหรับขันและไข เป็นเครื่องมือช่างพื้นฐานที่ใช้ในการขันและไขสำหรับนอตหรือสกรูนิยมมีไว้ติดบ้านมีการใช้งานอย่างหลากหลายจึงทำให้มีหลายประเภท เช่น ประแจ, ไขควง ซึ่งประแจและไขควงยังมีการแยกประเภทออกไปตามลักษณะการใช้งานดังนี้ 2.1 ประแจ เป็นเครื่องมือช่างที่มีหลายชนิดแต่ละชนิดก็มีลักษณะที่แตกต่างกันเพื่อรองรับการใช้งานช่างที่หลากหลาย โดยชนิดของประแจมีดังนี้       2.1.1 ประแจปากตาย เป็นชนิดของประแจที่ไม่ต้องใช้แรงขันหรือไขมากนักเพราะมีด้านที่รับแรงทั้ง 2 ด้าน ปลายทั้งสองด้านจะมีลักษณะคล้ายตะขอ ประแจปากตายเหมาะสำหรับงานที่อยู่ในที่ที่จำกัดเพราะจับเหลี่ยมนอตได้พอดี       2.1.2 ประแจแหวน ปลายทั้งสองข้างจะเป็นวงกลม เป็นชนิดของประแจชนิดที่มีแรงกดมาก จึงใช้ได้ดีกับนอตหรือสกรูที่ต้องใช้กับแรงขันมาก ๆ สามารถจับเหลี่ยมโบลท์และนอตได้เต็มที่แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจึงจะจับชิ้นงานได้อย่างสมบูรณ์ เหมาะใช้ในงานซ่อมรถยนต์, รถมอเตอร์ไซค์, รถจักรยาน และเครื่องจักรต่าง ๆ        2.1.3 ประแจบล็อก เป็นเครื่องมือช่างที่สำคัญสำหรับช่างยนต์มีหน้าที่ในการจับ ยึด ขัน หรือคลายหัวสกรู นอต สลักเกลียว โดยประแจบล็อกจะมีรูปร่างคล้ายท่อที่มีขนาดและความยาวที่แตกต่างกัน ส่วนด้านในมีเป็นลักษณะเป็นหยัก ๆ เพื่อช่วยให้ยึดนอตหรือสกรูให้แน่นมากขึ้นและต้องใช้ด้ามต่อประแจเพื่อให้สามารถจับและออกแรงได้ ประแจบล็อกใช้งานได้ดีสำหรับวัดแรงและกดขันนอต       2.1.4 ประแจเลื่อน เป็นชนิดของประแจที่มีปลายด้านหนึ่งมีลักษณะคล้ายหัวปลาสามารถปรับความกว้างของปากประแจใช้สำหรับขันเกลียว นอต หรือ ยึด อุปกรณ์ต่าง ๆ เหมาะสำหรับใช้ในงานถอดประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์และเครื่องจักร การใช้งาน • เลือกใช้ประแจที่มีขนาดของปาก และความยาวของด้ามที่เหมาะสมกับงานที่ใช้ ไม่ควรต่อด้ามให้ยาวกว่าปกติ • ควรตรวจสอบปากของประแจก่อนใช้งานทุกครั้งต้องไม่ชำรุด เช่น สึกหรอ ถ่างออก หรือร้าว • ปากของประแจทุกประเภทเมื่อใช้งานต้องแน่นและคลุมเต็มหัวนอตหรือสกรูพอดี • สำหรับผู้ถนัดมือขวาควรใช้มือขวาจับปลายประแจ ส่วนมือซ้ายหาที่ยึดให้มั่นคงและสมดุล • การใช้งานประแจไม่ว่าจะขันหรือไขคลายต้องใช้วิธีดึงเข้าหาตัวเสมอ และเตรียมความพร้อม สำหรับปากประแจหลุดขณะขันด้วย • ในการใช้งานควรเลือกใช้ประแจชนิดปากปรับไม่ได้ก่อน เช่น ประแจแหวน หากขันหรือคลายไม่ได้จึงค่อยเลือกใช้ประแจชนิดปากปรับได้ เช่น ประแจเลื่อนแทน การใช้ประแจชนิดปากปรับได้ เช่น ประแจเลื่อน ควรให้ปากด้านที่เลื่อนได้อยู่ติดกับผู้ใช้เสมอ • ปากและด้ามของประแจต้องแห้งปราศจากน้ำมันหรือจาระบีเมื่อต้องการใช้งาน • การขันนอตหรือสกรูที่อยู่ในที่แคบหรือลึกควรใช้ประแจบล็อกเพราะปากของประแจสามารถสอดเข้าไปในรูที่คับแคบได้ วิธีดูแลรักษา • ไม่ใช้งานประแจผิดประเภทเช่นการตอกหรือตีแทนค้อน • ควรทำความสะอาดหลังเลิกใช้งานโดยชโลมน้ำมันเครื่องเพื่อไม่ให้เป็นสนิมให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น • หลีกเลี่ยงการใช้ประแจที่มีขนาดใหญ่กว่าสกรูหรือนอตเพื่อป้องกันอันตรายจากการลื่นไถล • ควรตรวจสอบประแจอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ประแจมีสภาพพร้อมในการใช้งาน 2.2 ไขควง เป็นเครื่องมือช่างที่มีลักษณะที่แตกต่างจากประแจแต่มีการใช้งานเหมือนกัน ไขควง เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งออกแบบมาเพื่อขันสกรูให้แน่นหรือไขคลายสกรูออก ลักษณะของไขควงด้านหนึ่งจะเป็นแท่งโลหะส่วนปลายจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันเพื่อให้ใช้ได้กับนอตหรือสกรูชนิดต่าง ๆ และอีกด้านหนึ่งจะมีด้ามจับคล้ายทรงกระบอกสำหรับการไขด้วยมือ แต่ไขควงบางชนิดจะหมุนด้วยมอเตอร์ หรือบางชนิดทำงานโดยการส่งทอร์กจากการหมุนไปที่ปลาย ตัวอย่างชนิดของไขควงมีดังนี้        2.2.1 ไขควงแฉก ปลายโลหะจะเป็นรูปกากบาทปลายเป็นมุมเหมาะสำหรับใช้รับมือกับแรงบิดที่สูงและหัวสกรูหรือนอตที่มีความลึกใช้ได้ตั้งแต่งานเฟอร์นิเจอร์จนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า        2.2.2 ไขควงแบน ปลายโลหะจะมีลักษณะเหมือนสิ่วใช้กับสกรูหรือนอตที่มีหัวเป็นร่องผ่าโดยต้องใช้ไขควงที่มีขนาดเหมาะสมกับร่องของนอตหรือสกรูเพราะหากใหญ่เกินไป อาจทำให้ไขควงลื่นออกจากร่องและเกิดอันตรายได้แต่หากมีขนาดเล็กเกินไปอาจทำให้ไขควงหรือนอตและสกรูเสียหายได้        2.2.3 ไขควงหกแฉก นิยมใช้ในการงานด้านยานยนต์ปลายของโลหะเป็นร่องหกแฉกซึ่งช่วยให้มีจุดรับน้ำหนักมากขึ้นเมื่อลงแรงหมุนลงไปทำให้ไขนอตหรือสกรูได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังใช้งานร่วมกับสว่านได้อีกด้วย        2.2.4 ไขควง Robertson เป็นชนิดของไขควงที่ให้แรงบิดสูงและช่วยล็อกนอตหรือสกรูได้ดีจึงนิยมใช้ในงานที่หัวนอตจมอยู่ใต้พื้นผิววัสดุ ไขควง Robertson ยังมีการกำหนดสีเพื่อใช้ระบุขนาดอีกด้วย 2.2.5 ไขควงหัวบล็อก ลักษณะของปากไขควงชนิดนี้จะเป็นบล็อกหกเหลี่ยมใช้สำหรับนอตหรือสกรูที่มีร่องเป็นหกเหลี่ยมป้องกันไม่ให้มีการลื่นไถลขณะใช้งาน การใช้งาน • ไม่ควรใช้ด้ามไขควงในการทุบแทนอุปกรณ์ค้อน • ไม่ควรใช้ไขควงงัดหรือแงะเพราะอาจจะทำให้ไขควงเกิดความเสียหาย • ไขควงชนิดที่มีด้ามจับเป็นฉนวนหรือยางหุ้มสามารถใช้งานเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าได้ • ควรเลือกใช้ประเภทและขนาดของไขควงให้เหมาะสมกับประเภทของงานและขนาดของนอตหรือสกรู • เมื่อไขควงชำรุดหรือเสียหายไม่ควรนำมาใช้ต่อ • การขันนอตหรือสกรูให้แน่นควรกดไขควงลงบนหัวนอตหรือสกรูให้แน่นและใช้แรงกลในการขันให้แน่นโดยให้หมุนไขควงไปทางขวาหรือตามเข็มนาฬิกาจนนอตหรือสกรูแน่น • การไขเพื่อคลายนอตหรือสกรูควรกดไขควงลงและหมุนไขควงไปทางซ้ายหรือหมุนทวนเข็มนาฬิกาจนกระทั่งนอตหรือสกรูถูกคลายออกจากชิ้นงาน วิธีการบำรุงรักษา • ก่อนการใช้งานควรตรวจสอบปลายของไขควงว่ามีลักษณะตรงกับชนิดของร่อง • และมีขนาดพอดีกับร่องของหัวนอตหรือสกรูที่จะทำการไขหรือไม่ หลังการใช้งานควรเช็ดทำความสะอาด ทาน้ำมันกันสนิมเก็บและเก็บไว้ในกล่องอะไหล่หรือตู้เก็บเครื่องมือเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งาน Jenstore by Jenbunjerd ศูนย์รวมเครื่องมือช่างอุตสาหกรรม เช่น สว่านไฟฟ้า, บล็อกไฟฟ้า, เครื่องเชื่อม, เครื่องตัด, ลูกบล็อก, ประแจ, ไขควง, ไขควงลองไฟ, คีม, ดอกสว่าน, ปืนยิงกาว, แท่นตัด, แท่นเจียร ยินดีให้คำปรึกษาการเลือกใช้งานสินค้าเครื่องมือช่าง รับจัดหาสินค้าให้ตรงตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ มีบริการหลังการขายพร้อมการรับประกันคุณภาพสินค้า สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ล้อรถเข็นแบบไหน เหมาะสำหรับรถเข็นอุตสาหกรรม

ล้อรถเข็นแบบไหน เหมาะสำหรับรถเข็นอุตสาหกรรมล้อรถเข็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทรงพลังในการรองรับน้ำหนักในงานอุตสาหกรรม ในโรงงานอุตสาหกรรมความรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญของกระบวนการทำงานยิ่งสามารถทำให้กระบวนการทำงานรวดเร็วมากเท่าไรจะยิ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น ล้อรถเข็นอุตสาหกรรม จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความรวดเร็วให้กับธุรกิจ ล้อรถอุตสาหกรรม เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่นิยมติดตั้งที่ฐานของวัตถุที่มีขนาดใหญ่ หรือใช้ติดกับยานพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย เช่น รถเข็นประเภทต่าง ๆ ลักษณะของล้อรถเข็นอุตสาหกรรมจะมีทั้งทรงกลมและทรงกระบอกที่สามารถกลิ้งบนพื้นได้ดี ล้อรถเข็นสามารถผลิตได้จากหลายวัสดุ เช่น พลาสติก, ไนล่อน, ยูรีเทน, ยางธรรมชาติ, เหล็กหล่อ, สแตนเลส ฯลฯ โดยวัสดุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันจึงทำให้การนำไปใช้งานแตกต่างด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมยังต้องมีการคำนวณความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็น เนื่องจากล้อรถเข็นมีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน รวมไปถึงรูปแบบของล้อรถเข็นแต่ละแบบเช่น ล้อเป็น ล้อตาย อุปกรณ์เสริมที่ใช้ในการติดตั้งล้อรถเข็นทั้งหมดเป็นองค์ประกอบในการเลือกใช้ล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมที่ต้องคำนึงถึงเพราะจะทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน องค์ประกอบในการเลือกล้อรถเข็นสำหรับงานอุตสาหกรรม ประเภทและชนิดของล้อรถเข็น 1. ชนิดของล้อรถเข็น 1.1 ล้อรถเข็นชนิดแบบตายตัว เป็นล้อรถเข็นที่สามารถเดินหรือถอยหลังได้เท่านั้นไม่สามารถหมุนได้ 360 องศา มีโครงสร้างยึดคงที่เป็น เป็นล้อรถเข็นที่มีความแข็งแรงกว่าล้อชนิดอื่น รับน้ำหนักมาก ๆ ได้ เหมาะกับงานขรุขระ งานกลางแจ้ง โดยส่วนใหญ่ล้อรถเข็นชนิดนี้จะเลือกใช้งานติดร่วมกับล้อรถเข็นแบบหมุน เพื่อให้มีทิศทางในการเคลื่อนที่ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น และยังสามารถบังคับทิศทางได้ง่าย 1.2 ล้อรถเข็นแบบหมุน เป็นล้อรถเข็นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถหมุนได้รอบทิศทาง 360 องศา เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ สะดวกสบาย และคล่องตัว โดยสามารถพบเห็นได้ง่ายในรถเข็นช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า, รถเข็นที่ใช้ขนสินค้าในโกดังสินค้า หรือรถเข็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลเป็นต้น 1.3 ล้อรถเข็นแบบเบรก จะมีเบรกเป็นองค์ประกอบในการติดตั้งล้อเพื่อให้ล้อหยุดการเคลื่อนที่ได้ทันทีตามที่ต้องการ โดยเฉพาะเมื่อต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากที่มีการควบคุมทิศทางได้ยาก ล้อรถเข็นแบบเบรกจะช่วยให้สามารถควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้นและช่วยสร้างความปลอดภัยในการเคลื่อนย้าย ซึ่งเบรกของล้อรถเข็นยังมีหลากหลายแบบให้เลือกใช้งาน เช่น เบรกด้านข้าง, เบรกหน้าสัมผัส หรือเบรกล็อก 2 จังหวะ เป็นต้น 2. รูปแบบการติดตั้งล้อรถเข็น 2.1 ล้อรถเข็นแบบขาแป้น หรือแบบแผ่นเพลทมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีการเจาะรูทั้ง 4 ด้านและใช้สกรูเพื่อยึดติดกับฐานของยานพาหนะซึ่งล้อรถเข็นแบบเพลทมีทั้งแบบที่หมุนปรับทิศทางได้และหมุนปรับทิศทางไม่ได้ การติดตั้งล้อรถเข็นแบบเพลทจะมีความแข็งแรง มั่นคง ไม่ทรุดตัวง่าย รองรับน้ำหนักได้ดี ล้อรถเข็นขาแป้นเหมาะสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เคลื่อนย้ายขนาดใหญ่, เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก ๆ หรือรถเข็นอุตสาหกรรมทั่วไป 2.2 ล้อรถเข็นแบบเกลียว หรือแบบแกนเกลียวโดยทั่วไปมีอยู่ 2 แบบ คือ ล้อรถเข็นแบบสกรูและล้อรถเข็นแบบรูเจาะทะลุซึ่งทั้ง 2 แบบนี้เป็นวิธีติดตั้งแบบขันเกลียวทั้งคู่ ล้อรถเข็นแบบสกรู จะมีแท่งเกลียวโผล่ขึ้นมาจากบริเวณฐานล้อรถเข็นโดยจะยึดกับโครงสร้างเครื่องจักรที่มีรูเกลียวอยู่ด้านล่าง ส่วนล้อรถเข็นแบบรูเจาะทะลุจะเป็นแผ่นเพลทที่มีรูขนาดใหญ่ 1 รู มีไว้สำหรับร้อยโบลท์จากด้านล่างของฐานล้อรถเข็นเพื่อนำไปประกอบกับชิ้นงานและใช้แหวนรองร่วมกับนอตเพื่อยึดล้อรถเข็นเข้ากับยานพาหนะหรือสินค้าที่ต้องการเคลื่อนย้าย โดยส่วนมากล้อรถเข็นขาเกลียวจะนำมาใช้ยึดร่วมกับเหล็กฉากเพื่อให้เกิดความแข็งแรงและคงทนมากขึ้น เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก หรือรถเข็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง แต่ถ้าหากต้องการให้ล้อรถเข็นชนิดนี้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้นควรเลือกขนาดล้อขาเกลียวที่มีความยาวมากขึ้น 2.3 ล้อรถเข็นแบบปลั๊กอิน เป็นการติดตั้งแบบสวมหรือแบบเสียบเข้าไป รูปทรงภายนอกคล้ายกับล้อรถเข็นแบบขาเกลียว แต่ชิ้นส่วนที่ใช้ยึดเข้ากับวัตถุจะเป็นเดือยหรือแกนแหวนล็อก สามารถติดตั้งโดยการใช้เครื่องมือตอกอัดเข้ากับชิ้นงานได้ทันที การติดตั้งสะดวกและรวดเร็วมากกว่าแบบขาเกลียวและแบบขาแป้น เหมาะสำหรับรองรับงานที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น เก้าอี้ ชั้นวางของ หรือรถเข็น แค่ถ้าหากต้องการเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักก็ต้องเลือกใช้ล้อรถเข็นที่มีขนาดใหญ่และเพิ่มความยาวของแกนจะทำให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น 3. ประเภทของล้อรถเข็น 3.1 ล้อรถเข็นยางธรรมชาติ จะมีความยืดหยุ่นสูงจึงทำให้ไม่มีเสียงเวลาเข็นและไม่ทำให้พื้นเกิดเป็นรอย เหมาะสำหรับใช้เข็นบนพื้นไม้, พื้นกระเบื้อง, พื้นเซรามิก, หินอ่อน และคอนกรีต ซึ่งล้อยางธรรมชาติมีทั้งสีดำและสีเทา สีดำเหมาะสำหรับงานทั่วไป สีเทาเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความสะอาด เช่น โรงแรม, โรงพยาบาล, โรงอาหาร 3.2 ล้อรถเข็นยางสังเคราะห์ มีความทนทานสูง มีเสียงรบกวนในการเคลื่อนที่ต่ำ และไม่ก่อให้เกิดรอยบนพื้น มีความทนทานต่อสารเคมี น้ำ และน้ำมัน ใช้งานบนพื้นพรมได้ดีเหมาะสำหรับใช้งานเฟอร์นิเจอร์ รถเข็นสำนักงาน ฯลฯ 3.3 ล้อรถเข็นไนล่อน มีความแข็งแแรง ไม่แตกหักได้ง่าย ไม่เกิดการยุบตัว ล้อไนล่อนมีสีขาวจึงไม่ทิ้งรอยสกปรกบนพื้นผิว สามารถทนทานต่อความร้อน ความเย็น สารเคมี และการกัดกร่อนได้ดี สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีน้ำขังหรือเปียกชื้นได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถนำไนล่อนไปผสมกับแก้วโบโรซิลิเกต เพื่อให้ล้อรถเข็นสามารถทนอุณหภูมิสูงได้ เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องรับน้ำหนักขณะหยุดนิ่งเป็นเวลานาน เหมาะกับพื้นที่อยู่กลางแจ้งและพื้นขรุขระ เช่น ผิวคอนกรีต กระเบื้องเนื้อแข็ง นิยมใช้ในห้องเย็น, โรงพยาบาล, โรงอาหาร, รถเข็นอุตสาหกรรม หรือชั้นวางของ 3.4 ล้อรถเข็นยูรีเทน มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการทนต่อการฉีกขาด สามารถรับน้ำหนักมาก ๆ ได้ ล้อยูรีเทนไม่ทำให้พื้นเป็นรอยขีดข่วนในขณะใช้งาน มีความยืดหยุ่นสูง รองรับแรงกระแทกได้ดี มีน้ำหนักเบา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันเมื่อเทียบกับล้อยางชนิดอื่น สามารถใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร หรือในพื้นผิวที่หยาบ ผิวขรุขระ และมีเศษวัสดุแหลมคม 3.5 ล้อรถเข็นพีพี มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา มีความเหนียว ทนต่อแรงกระแทก ทนต่อความร้อน สามารถทนต่ออุณหภูมิในการฆ่าเชื้อได้ ทนทานต่อจาระบีและน้ำมันต่าง ๆ ไม่ก่อให้เกิดรอยบนพื้นและไม่เสียรูปได้ง่ายเหมาะสำหรับ งานในโรงแรม โรงพยาบาลและสถานที่ที่ต้องการความสะอาดเป็นอย่างมาก 3.6 ล้อรถเข็นเหล็ก มีความแข็งแรงและทนทานสูง ทนต่อแรงกระแทก รองรับงานหนักได้ดีสามารถใช้ได้ทั้งพื้นเรียบ พื้นผิวหยาบและพื้นผิวขรุขระเหมาะในการใช้งานนอกอาคาร งานกลางแจ้ง และอุตสาหกรรมหนัก ไม่ควรใช้กับพื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หรือพื้นหินอ่อน เพราะจะทำให้เป็นรอย และเกิดการเสียหายได้ ซึ่งล้อรถเข็นเหล็กก็มีหลายชนิด เช่น ล้อรถเข็นเหล็กหล่อ, ล้อรถเข็นเหล็กอัดขึ้นรูป, ล้อรถเข็นเหล็กร่อง 3.7 ล้อรถเข็นสแตนเลส จะมีผิวเรียบมันวาว มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนักได้มาก ต้านทานต่อการกัดกร่อนและสารเคมี เป็นวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน ไม่เป็นสนิท เป็นวัสดุที่ถูกสุขอนามัยจึงเหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ 4. การคำนวณความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็น ล้อรถเข็นจะติดตั้งตามจุดต่าง ๆ ของยานพาหนะ เช่น มุมทั้ง 4 ด้านหรือตรงกลาง และยังมีหลายประเภทและหลายขนาด ความสามารถในการรับน้ำหนักย่อมมีความแตกต่างกัน และในบางครั้งการวางสิ่งของเพื่อเคลื่อนย้ายอาจจะไม่ได้วางไว้ตรงจุดศูนย์กลางเสมอไป การกระจายน้ำหนักของสิ่งของบนรถเข็นจึงมีการกระจายน้ำหนักอย่างไม่สม่ำเสมอ ล้อรถเข็นด้านใดด้านหนึ่งอาจมีการรับน้ำหนักที่มากเกินไปได้ ซึ่งการคำนวณความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็นจะช่วยค้นหาน้ำหนักที่เหมาะสมต่อการบรรทุกของล้อแต่ละขนาด น้ำหนักที่ปลอดภัยสำหรับในการเคลื่อนย้ายของรถเข็นจะอยู่ที่ 75% ของน้ำหนักสูงสุดที่รถเข็นรองรับได้ หลักการคำนวณ น้ำหนักที่ปลอดภัยในการใช้งาน = น้ำหนักที่รองรับได้ต่อล้อ x จำนวนล้อรถเข็น x 0.75ตัวอย่างการคำนวณ รถเข็น 4 ล้อ ล้อรถเข็นแต่ละลูกสามารถรับน้ำหนักได้ 125 กิโลกรัม น้ำหนักที่ปลอดภัยในการใช้งาน = 125 x 4 x 0.75 น้ำหนักที่ปลอดภัยในการใช้งาน = 375 กิโลกรัม การเลือกล้อรถเข็นที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลายปัจจัยในการเลือกใช้งาน ทุกปัจจัยเป็นส่วนช่วยให้ล้อรถเข็นมีความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้าย การเลือกล้อรถเข็นควรเลือกใช้งานให้สอดคล้องกับลักษณะงาน แต่ปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้ามีประสิทธิภาพคือการเลือกใช้วัสดุที่ผลิตล้อรถเข็นที่เหมาะสมกับประเภทของอุตสาหกรรม น้ำหนักที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย และสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม เพราะวัสดุที่ใช้ในการผลิตล้อรถเข็นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น อุตสาหกรรมที่ต้องการความสะอาดถูกสุขอนามัยก็ควรเลือกใช้ล้อรถเข็นที่ผลิตจากยาง, ยูรีเทน หรือสแตนเลส หากต้องการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีน้ำหนักมากก็ควรเลือกใช้ล้อเหล็ก, ล้อไนล่อนหากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำ เปียกชื้น หรือมีสารเคมีในการผลิตก็ควรเลือกใช้ล้อไนล่อนหรือล้อยางสังเคราะห์ เป็นต้น Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานอุตสาหกรรม ล้อรถเข็นอุตสาหกรรม เช่น ล้อยาง, ล้อยูรีเทน, ล้อไนล่อน ฯลฯ ผลิตด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง ใส่ใจทุกขั้นตอนในการผลิต แข็งแรงและทนทานหมดปัญหาเรื่องยางแตก มีมาตรฐานและคุ้มค่าคุ้มราคา ยินดีให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในทุกขั้นตอนพร้อมการรับประกันสินค้าเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะรับบริการและสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดจาก Jenstore สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
จัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยมีแต่คำว่าปังตลอดปี

จัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยมีแต่คำว่าปังตลอดปี จัดโต๊ะทำงานให้ดีตามฮวงจุ้ยช่วยเพิ่มพลังบวกทั้งการงานและการเงิน ฮวงจุ้ย เป็นความเชื่อของคนจีนที่เกี่ยวกับความสมดุลโดยเน้นเกี่ยวกับการจัดที่อยู่อาศัยหรือสภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับพลังงานต่าง ๆ รอบตัว เป็นความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ดังนั้นคนที่มีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยไม่ว่าที่บ้านหรือที่ทำงานจะต้องมีการจัดองค์ประกอบที่ถูกต้องตามศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยเฉพาะห้องทำงานที่เป็นพื้นที่ในการสร้างงานและสร้างเงินซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสำคัญคือการจัดโต๊ะทำงาน เป็นแหล่งของพลังกายและพลังสมอง การจัดโต๊ะทำงานที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยจะช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัว สะดวกในการหยิบจับ มีพลังของความเชื่อที่ส่งเสริมให้การงานมีความรุ่งเรืองและปังตลอดปี ซึ่งหลักของการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยมีดังนี้ เทคนิคการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ย ที่งานและเงินมีแต่คำว่าปัง ขนาดของโต๊ะทำงาน ขนาดของโต๊ะทำงานควรมีความสอดคล้องกับความสูงและขนาดของร่างกายเพื่อให้การนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานมีความคล่องตัว สะดวกในการเคลื่อนไหว และสบายในอิริยาบถต่าง ๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหลักของฮวงจุ้ยเพราะหลักของฮวงจุ้ยไม่ใช่แค่เรื่องสวยงามหรือความเป็นสิริมงคลเท่านั้นแต่ยังหมายถึงความสะดวกสบายในการใช้งานที่จะช่วยส่งเสริมให้การทำงานมีพลังและประสิทธิภาพ เพราะหากคุณนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานโดยที่ไม่มีความสะดวกสบายในการทำงานในหลักการฮวงจุ้ยหมายความว่าคุณจะโดนกดทับจากงานและผู้มีอำนาจตลอดเวลา นอกจากนี้ขนาดของโต๊ะทำงานยังเปรียบเสมือนอำนาจของตำแหน่งและปริมาณของงานยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไรขนาดของโต๊ะจะมีขนาดใหญ่กว่าพนักงานทั่วไป รูปทรงของโต๊ะทำงาน ตามหลักฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานแต่ละทรงให้พลังในการทำงานที่แตกต่างกัน โดยรูปทรงโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยที่นิยมนำมาใช้งานมีอยู่ 3 รูปทรงด้วยกัน คือ 2.1 ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นรูปทรงที่ดีในการนั่งทำงานเพราะมุมเหลี่ยมสะท้อนถึงความมีระเบียบแบบแผน ทำงานอย่างมีระบบ และมีสมาธิที่มั่นคง และยังเป็นรูปทรงที่ทำให้การทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถวางอุปกรณ์และเครื่องมือสำนักงานได้จำนวนมาก มากกว่ารูปทรงโต๊ะทำงานแบบอื่น ๆ 2.2 โต๊ะทำงานทรงกลม เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีให้เกิดขึ้นได้เพราะรูปทรงของโต๊ะช่วยให้ผู้ที่นั่งหันหน้าเข้ามาคุยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน 2.3 โต๊ะทำงานทรงโค้ง ช่วยจัดสมดุลในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและช่วยสร้างมิตรไมตรีต่อเพื่อนร่วมงาน วัสดุของโต๊ะทำงาน วัสดุของโต๊ะทำงานจะช่วยส่งเสริมพลังในการทำงานซึ่งวัสดุแต่ละชนิดก็มีพลังงานในการส่งเสริมที่แตกต่างกันดังนี้ 3.1 โต๊ะทำงานไม้ เป็นพลังที่ช่วยให้การทำงานได้รับการสนับสนุน 3.2 โต๊ะทำงานกระจก ด้วยกระจกมีความใสจึงเป็นพลังงานไหลเวียนได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้งอาจมีการไหลเวียนเร็วเกินไปจนทำให้เสียสมดุลได้ แก้ได้โดยการนำต้นไม้มาวางประดับโต๊ะทำงานเพื่อให้การไหลเวียนมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น 3.3 โต๊ะทำงานลามิเนต เป็นวัสดุที่กำลังเป็นที่นิยมเพราะมีความทนทานและมีความสวยงาม โต๊ะทำงานลามิเนตช่วยให้พลังมีความสมดุลทำให้ส่งผลที่ดีต่อการทำงาน 3.4 โต๊ะทำงานโลหะ โลหะมีความแข็งแรงจึงช่วยเสริมพลังด้านจิตใจและทำให้มีสมาธิในการทำงานมากยิ่งขึ้น ทิศและตำแหน่งการวางโต๊ะทำงาน เป็นหนึ่งหลักสำคัญของหลักฮวงจุ้ยโดยเฉพาะโต๊ะทำงานของผู้บริหาร โดยทิศและตำแหน่งการวางโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยเป็นการจัดตามสภาพแวดล้อมตามทิศทางของลมและทิศทางของน้ำ โดยพิจารณาตามสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในห้องทำงาน เริ่มตั้งแต่โต๊ะทำงาน ประตู ทางเข้า และตำแหน่งของโต๊ะทำงาน โดยทิศที่เหมาะสมในการวางโต๊ะทำงานผู้บริหารตามหลักฮวงจุ้ยที่ดีควรอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นตำแหน่งที่เหมาะกับผู้ที่มีตำแหน่งอาวุโสหรือตำแหน่งของผู้บริหาร ซึ่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นตำแหน่งของความเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา และความมั่งคั่ง สำหรับตำแหน่งของการวางโต๊ะทำงานควรวางในจุดที่มองเห็นภายในของห้องอย่างชัดเจน จะช่วยเรื่องอำนาจบารมีและความหนักแน่นได้ นอกจากนั้นตำแหน่งโต๊ะทำงานที่ถูกหลักฮวงจุ้ยไม่ควรอยู่ตรงกับประตูเพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาและความวุ่นวาย เงินทองและโชคลาภไหลออก และหน้าประตูไม่ควรมีสิ่งของกีดขวางเพราะจะทำให้การไหลเวียนของพลังงานมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ในส่วนของด้านหลังของโต๊ะทำงานควรเป็นกำแพงทึบ เปรียบเสมือนเป็นพลังของภูเขาใหญ่ที่จะคอยเกื้อหนุนให้คนคอยสนับสนุนและมีอำนาจ แต่หากไม่มีกำแพงก็ควรหาตู้หรือต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่วางไว้ด้านหลังแทน ไม่ควรปล่อยให้ด้านหลังโต๊ะทำงานว่างหรือเปิดโล่งโดยเด็ดขาด และไม่ควรตั้งโต๊ะทำงานในมุมอับของห้องเพราะเปรียบเสมือนเป็นทางตัน มีความอึดอัด ความคับข้องใจและหาทางออกไม่ได้ การจัดวางสิ่งของบนโต๊ะทำงาน เป็นการเสริมบารมีและช่วยให้การทำงานราบรื่น ด้านซ้ายของโต๊ะทำงานควรวางสิ่งของที่เกี่ยวกับความรู้และอำนาจ เช่น คอมพิวเตอร์, ชั้นวางหนังสือ, ชั้นวางของ ส่วนด้านขวามือของโต๊ะทำงานควรวางสิ่งของที่เกี่ยวกับการประสานงาน ความคิดสร้างสรรค์ และความสัมพันธ์ เช่น รูปครอบครัว, ต้นไม้ต้นเล็ก ๆ , กล่องใส่ปากกา, ปากกาสีต่าง ๆ เสริมวัตถุมงคลบนโต๊ะทำงาน ที่จะช่วยเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้มากยิ่งขึ้นเป็นพลังเสริมที่จะสร้างพลังงานให้กับการทำงาน ซึ่งวัตถุมงคลที่สามารถวางเสริมบนโต๊ะทำงานได้มีหลายชนิด เช่น 6.1 แก้วน้ำหรือหินนำโชค หากวางไว้บนโต๊ะทำงานจะช่วยดูดทรัพย์และรับพลังงานด้านดีเข้ามา แต่ควรหมั่นทำความสะอาดให้มีความใสสะอาดอยู่เสมอ 6.2 เต่าคริสตัล เต่าเป็นสัตว์มงคลที่จะช่วยดูดซับพลังงานด้านบวกรอบตัวมาเสริมพลังให้กับผู้ที่นั่งโต๊ะทำงาน เป็นพลังงานที่สนับสนุนทั้งในหน้าที่ด้านการงาน ด้านการเงิน ความมั่งคั่งและความมั่นคงในตำแหน่งการงาน 6.3 ต้นไม้ขนาดเล็ก เป็นสิ่งมงคลยอดนิยมที่มักนำมาประดับตกแต่งบนโต๊ะทำงาน ต้นไม้จะช่วยเพิ่มออกซิเจนและสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้กับห้องทำงานได้ และยังมีความหมายของพลังงานที่ดีในการงานทำงาน ซึ่งแต่ละประเภทของต้นไม้ก็ให้พลังที่แตกต่างกันออกไป เช่น ต้นโฮย่าหัวใจ ช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานและช่วยเพิ่มพลังอำนาจให้มีมากยิ่งขึ้น, ต้นเศรษฐีเรือนใน ช่วยดูดซับสารพิษและเสริมด้านโชคลาภ, ต้นออมเงิน ช่วยในการออมทรัพย์ ทำให้การทำงานมีรากฐานมั่นคง และควบคุมการใช้เงินไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป, ต้นโป๊ยเซียนแคระ เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้และยิ่งถ้าออกดอก 8 ดอกขึ้นไปจะยิ่งช่วยเพิ่มโชคลาภมากยิ่งขึ้น, ต้นไผ่กวนอิม เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนโบราณมักนำมาใช้ประกอบพิธีบูชาเทพเจ้า จะช่วยเสริมดวงในด้านโชคลาภและนำพาเงินทองและของมีค่ามาสู่เจ้าของโต๊ะทำงาน, ต้นเฟิร์นข้าหลวง ช่วยเสริมความภูมิฐานและเกียรติยศให้กับครอบครัว นอกจากทั้ง 6 ข้อนี้ยังมีหลักในการจัดโต๊ะทำงานที่เป็นเหมือนกุศโลบายให้เจ้าของโต๊ะจัดโต๊ะทำงานให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น เช่น ไม่ควรปล่อยให้โต๊ะทำงานรกเพราะเปรียบเสมือนสร้างอุปสรรคให้กับการทำงานทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลงไป ซึ่งการจัดโต๊ะทำงานตามหลักของฮวงจุ้ยนอกจากจะให้ความเชื่อมั่นทางด้านจิตใจแล้วในด้านของฟังก์ชันการใช้งานก็ช่วยสร้างให้โต๊ะทำงานมีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น Jenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจำหน่ายโต๊ะทำงาน, โต๊ะสำนักงาน, โต๊ะทำงานเหล็ก, โต๊ะทำงานไม้, โต๊ะอเนกประสงค์, โต๊ะคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นยังจำหน่ายเก้าอี้สำนักงานที่แข็งแรงและทนทานมีหลายชนิดและหลายแบบให้เลือกสั่งซื้อ โดยอุปกรณ์ทั้งหมดผลิตจากวัสดุที่มีมาตรฐานภายใต้แบรนด์คุณภาพ พร้อมการรับประกันสินค้าคุณภาพ 100% และการบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่จะช่วยให้การซื้อสินค้าของคุณเป็นเรื่องง่ายและได้สินค้าที่มีประสิทธิภาพตามความต้องการของคุณมากที่สุด สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เก้าอี้ที่มี ดีแล้วจริงหรือ? เทคนิคเลือกเก้าอี้สำนักงานให้เหมาะกับคุณ

เก้าอี้ที่มี ดีแล้วจริงหรือ? เทคนิคเลือกเก้าอี้สำนักงานให้เหมาะกับคุณเก้าอี้สำนักงานที่ใช่ มีดีทั้งด้านสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน การนั่งทำงานนาน ๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกเมื่อยล้าและหากนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมงเป็นระยะเวลานานอาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรมโรคยอดนิยมของพนักงานออฟฟิศ, โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, กระดูกสันหลังคดซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เดินหลังค่อมหรือหลังงอได้ซึ่งโรคทั้งหมดสามารถเกิดได้จากการนั่งเก้าอี้ที่ไม่เหมาะกับสรีระร่างกาย โดยเฉพาะเก้าอี้สำนักงาน เป็นเก้าอี้ที่นิยมใช้ในการนั่งทำงานไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้าน ถึงแม้เก้าอี้สำนักงานจะมีการออกแบบฟังก์ชันการใช้งานที่รองรับสรีระของร่างกายและเลือกใช้วัสดุในการผลิตที่มีการคำนึงถึงการใช้งาน แต่มนุษย์โดยทั่วไปมีสรีระร่างกายที่แตกต่างกันจึงไม่สามารถใช้เก้าอี้สำนักงานที่เหมือนกันได้ทุกคน และเก้าอี้สำนักงานที่มีจำหน่ายในท้องตลาดก็มีหลายชนิดและหลายระดับราคาซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งฟังก์ชันการใช้งานและวัสดุที่ใช้ในการผลิต ดังนั้นในการเลือกใช้หรือเลือกซื้อเก้าอี้สำนักงานจึงควรเลือกให้เหมาะกับสรีระของร่างกายเพื่อให้เป็นผลดีต่อร่างกายและสร้างประสิทธิภาพในการใช้งานให้มากที่สุด บทความนี้จึงได้รวบรวมเทคนิคในการเลือกเก้าอี้สำนักงานที่ใช่เพื่อให้คุณได้ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ ให้มากที่สุด เทคนิคการเลือกเก้าอี้สำนักงานที่ใช่และดีสำหรับคุณคำนึงถึงความสูงของเก้าอี้ที่เหมาะสม ความสูงที่เหมาะสมหมายถึงควรเลือกเก้าอี้สำนักงานที่ความสูงของเก้าอี้และความสูงของผู้ที่นั่งควรมีความเหมาะสมกันเพื่อรองรับสรีระของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสูงของเก้าอี้สำนักงานที่เหมาะสมจะช่วยลดความเค้นกดที่ต้นขาด้านล่าง โดยทั่วไปความสูงที่เหมาะสมสำหรับเก้าอี้สำนักงานจะอยู่ระหว่าง 38-43 เซนติเมตร เป็นความสูงที่ทำให้ข้อพับด้านหลังของเข่าสัมผัสกับความสูงของเก้าอี้อย่างพอดี แรงกดจากการนั่งบริเวณต้นขาจะมีน้อย ถ้าความสูงของเก้าอี้สำนักงานสูงเกินไปสำหรับผู้นั่งจะทำให้สะโพกของผู้นั่งเลื่อนไปด้านหน้า ทำให้ลำตัวโน้มไปทางด้านหน้าจึงขาดการรองรับบริเวณหลังของพนักพิง และทำให้เกิดแรงเค้นกดมากขึ้นที่บริเวณต้นขา แต่ถ้าความสูงของเก้าอี้สำนักงานต่ำเกินไปสำหรับผู้นั่งจะทำให้การ กระจายแรงกดหรือน้ำหนักบริเวณกระดูกก้นกบไม่สม่ำเสมอกันจึงเกิดการกดทับแค่บางจุดและการเมื่อยล้าได้ ซึ่งเก้าอี้สำนักงานมีการแบ่งขนาดของเก้าอี้ออกเป็น 3 ขนาดเพื่อให้การเลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยมีดังนี้ 1.1 เก้าอี้สำนักงานไซส์ S เหมาะสำหรับคนที่มีความสูงประมาณ 125-158 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 40-58 กิโลกรัม คนส่วนใหญ่ของความสูงและน้ำหนักเท่านี้จะเป็นคนที่มีรูปร่างขนาดเล็ก โดยหากต้องการทดสอบว่าเก้าอี้สำนักงานตัวนี้เหมาะกับเราหรือไม่ สังเกตได้ง่าย ๆ โดยเมื่อนั่งเท้าทั้ง 2 ข้างต้องจะเหยียบพื้นได้พอดีและหลังติดพนักพิงเพื่อไม่ให้เกิดอาการชาและปวดหลังเมื่อนั่งนาน ๆ 1.2 เก้าอี้สำนักงานไซส์ M เหมาะสำหรับคนที่สูงประมาณ 158-173 เซนติเมตร น้ำหนัก ประมาณ 58-73 กิโลกรัม เป็นไซส์มาตรฐานของมนุษย์โดยส่วนใหญ่จะมีความสูงและน้ำหนักในช่วงดังกล่าว มีรูปร่างที่ไม่ใหญ่หรือไม่เล็กจนเกินไป 1.3 เก้าอี้สำนักงานไซส์ L เหมาะสำหรับคนที่สูงตั้งแต่ 173-192 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 80-120+ กิโลกรัม เป็นเก้าอี้สำนักงานที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษเพื่อรองรับน้ำหนักมาก ๆ เพราะผู้นั่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ในปัจจุบันเก้าอี้สำนักงานบางรุ่นสามารถปรับระดับความสูงได้โดยจะมีแกนบังคับที่ช่วงขาของเก้าอี้จึงทำให้สามารถใช้งานได้ครอบคลุมและสะดวกมากยิ่งขึ้นพนักพิงส่วนสำคัญในการรองรับกระดูกสันหลัง พนักพิงของเก้าอี้ที่ดีต่อร่างกายควรเลือกเก้าอี้สำนักงานที่สามารถปรับเอนได้เพื่อให้มีการเปลี่ยนอิริยาบถในการนั่ง เนื่องจากการนั่งท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะการหมุนเวียนของสารอาหารและของเสียลดน้อยลงและยังทำให้เกิดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังและหัวไหล่ เกิดอาการเหน็บชาที่ขาและเท้า นอกจากนั้นจากการศึกษายังพบว่าหากให้พนักพิงมีมุมเอนระหว่าง 100-130 องศา แรงดันที่กระทำต่อหมอนรองกระดูกสันหลังจะน้อยลง จะช่วยให้กระดูกสันหลังไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และควรเลือกเก้าอี้สำนักงานที่ความยาวของพนักพิงควรมีความยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร หรือสูงไม่เกินไหล่แต่ถ้าเป็นเก้าอี้สำนักงานที่สามารถเอนพนักพิงได้มาก ๆ ควรเพิ่มความสูงขึ้นอีกประมาณ 10 เซนติเมตรและความกว้างของพนักพิงควรมีความกว้างน้อยที่สุดประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อช่วยพยุงกล้ามเนื้อหลังและต้นคอความลาดเอียงของแผ่นรองนั่งช่วยลดอาการเมื่อยล้า ควรเลือกเก้าอี้สำนักงานที่มีความลาดเอียงของแผ่นรองนั่งประมาณ 93-105 องศากับแนวระนาบ โดยให้แผ่นรองนั่งลาดเอียงจากแนวระนาบประมาณ 0-8 องศา การลาดเอียงของแผ่นรองนั่งมีความสัมพันธ์กับพนักพิงเก้าอี้ซึ่งจะช่วยให้สะโพกและแผ่นหลังแนบกับแนวเก้าอี้สำนักงานทำให้เกิดการกระจายน้ำหนัก ลดอาการตึงหรือเกร็งของกล้ามเนื้อเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดีความลึกและความกว้างของเก้าอี้สำนักงาน หลักการในการเลือกเก้าอี้สำนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดโดยเลือกจากระยะจากสะโพกถึงข้อพับด้านในมีความยาวและความลึกที่พอดีกับขนาดของร่างกายหรือไม่ หากพอดีแผ่นหลังจะมีการสัมผัสกับพนักพิงและช่องว่างระหว่างข้อพับเข่ากับขอบด้านนอกของเก้าอี้หรือแผ่นรองนั่งจะมีระยะห่างประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อลดแรงเค้นกดที่ต้นขา แต่หากที่นั่งมีความลึกมากเกินไปเมื่อเอนหลังจะไม่สามารถสัมผัสได้กับพนักพิงและก่อให้เกิดการเมื่อยล้าหรือปวดหลังได้ง่ายที่พักแขนจุดพักผ่อนของช่วงแขน ที่พักแขนของเก้าอี้สำนักงานควรเลือกที่ปรับระดับได้และควรอยู่ในระดับที่ต่ำพอที่จะสามารถสอดเข้าใต้โต๊ะได้ ความกว้างของที่พักแขนควรมีอย่างน้อย 2 นิ้ว ส่วนความยาวขึ้นอยู่กับขนาดของเบาะ ที่พักแขนควรทำจากวัสดุที่นุ่ม ไม่มีขอบแหลมเพื่อป้องกันการกดทับของเส้นประสาทที่บริเวณข้อศอกรากฐานที่ดีของเก้าอี้สำนักงานเก้าอี้สำนักงานที่ดีและมีมาตรฐานควรต้องมีน้ำหนักพอสมควรและมีฐานล้อที่กว้างกว่าลำตัวเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักของผู้ที่จะนั่งได้ เมื่อมีการพิงพนักเก้าอี้จะมีการถ่ายเทน้ำหนักไปด้านหลัง ซึ่งหากเลือกเก้าอี้สำนักงานที่มีความแข็งแรงและมีมาตรฐานจะไม่ก่อให้เกิดการล้มจากการเอนจึงช่วยให้ผู้นั่งมีความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้นการเลือกเก้าอี้สำนักงานที่เหมาะสมกับสรีระของผู้นั่งจะมีผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ จากการนั่งเป็นเวลานาน เช่น โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท, ออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากเก้าอี้สำนักงานที่เหมาะกับสรีระร่างกายจะช่วยให้ร่างกายได้มีการผ่อนคลายและช่วยให้นั่งทำงานในท่าที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ ซึ่งข้อดีดังกล่าวช่วยส่งเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การเลือกเก้าอี้สำนักงานผู้นั่งยังสามารถเลือกเก้าอี้สำนักงานที่ชอบหรือเหมาะสมในการใช้งานได้อีกด้วยโดยอาจพิจารณาจาก โครงสร้างของเก้าอี้สำนักงานซึ่งมีทั้งหมด 3 วัสดุ คือ 1. เหล็ก มีน้ำหนักมากแต่แข็งแรง 2. ไม้อัด ใช้ในการขึ้นรูปและกรุโฟมทับ นิยมใช้ในงานที่มีการดีไซน์แบบพิเศษ 3. พลาสติก มีน้ำหนักเบาแต่ไม่คงทน ในส่วนของวัสดุที่ใช้ในการห่อหุ้มเก้าอี้สำนักงาน เช่น หนังแท้, หนังเทียม จะมีความคงทนและทำความสะอาดได้ง่าย แต่หนังแท้จะให้ความสวยงามมากกว่าหนังเทียม, ผ้าจะให้ความสบายในการนั่งเพราะไม่ร้อน ส่วนเก้าอี้สำนักงานแบบตาข่ายมีการระบายอากาศได้ดีจึงไม่ก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค และมีดีไซน์ที่ทันสมัยเหมาะสำหรับในยุคปัจจุบัน โดยคุณสมบัติที่แตกต่างของแต่ละวัสดุก็เหมาะสมในการนำไปใช้งานที่แตกต่างเช่นเดียวกันขึ้นอยู่กับการเลือกความชอบและความเหมาะสมในการนำไปใช้งานของผู้นั่ง Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายเก้าอี้สำนักงาน, เก้าอี้ผู้บริหาร, เก้าอี้สำนักงานแบบหนัง, เก้าอี้สำนักงาน โต๊ะทำงาน ผลิตจากวัสดุคุณภาพ ที่มีความแข็งแรงและทนทาน หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ภายใต้แบรนด์ระดับพรีเมียม พร้อมยินดีให้คำแนะนำในการใช้งานและบริการหลังการขายที่มาพร้อมกับการรับประกันสินค้า สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานให้เป็นสไตล์ที่ใช่ บรรยากาศที่ชอบ สร้างไอเดียสุดปัง!

เลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานให้เป็นสไตล์ที่ใช่ บรรยากาศที่ชอบ สร้างไอเดียสุดปัง! โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงาน เลือกแบบที่ชอบ ฟังก์ชันที่ใช่ มีแต่ดีและปัง การทำงานเป็นสภาวะที่มีต้องใช้สมาธิ การวิเคราะห์ รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงานต่าง ๆ ให้ออกมาดีที่สุด หลายองค์กรจึงให้ความสำคัญในการสร้างบรรยากาศในการทำงานเพื่อส่งเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างประสิทธิผลที่ดีออกมาซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจ การตกแต่งห้องทำงานจึงเป็นสิ่งที่หลายองค์กรให้ความสำคัญเพราะเป็นปัจจัยที่ดีในการสร้างบรรยากาศในการทำงานและสร้างสรรค์ผลงานที่ดีออกมาร่วมกัน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญในการทำงานก็คือ โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงาน เป็นอุปกรณ์ที่ต้องถูกใช้งานเป็นเวลานานและอยู่ใกล้ชิดกับพนักงานมากที่สุด โดยหากเป็นพนักงานออฟฟิศต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันในการนั่งทำงาน และยังเป็นเฟอร์นิเจอร์หลักของห้องทำงาน จึงทำให้โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานต้องตอบโจทย์การใช้งานทั้งความสวยงามและฟังก์ชันการใช้งานไปพร้อม ๆ กัน ส่งผลให้โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานจึงมีรูปแบบที่หลากหลายและมีสีสันให้เลือกใช้งานมากมายเพื่อให้รองรับทุกความต้องการ ในปัจจุบันในการเลือกใช้โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานที่แมทช์กับสไตล์ของห้องทำงานจะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานให้น่าทำงานมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างไอเดียในการทำงานให้มีความสร้างสรรค์ที่ส่งผลดีต่อธุรกิจ ซึ่งสไตล์ในการตกแต่งห้องทำงานในปัจจุบันมีหลากหลายสไตล์และแต่ละสไตล์ก็มีทริคในการเลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานที่แตกต่างกันเพื่อสร้างบรรยากาศดี ๆ ในการทำงานที่มีความลงตัวให้มากที่สุด การเลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานที่เหมาะกับสไตล์ที่ใช่ บรรยากาศที่ชอบสำหรับคุณ ห้องทำงานสไตล์มินิมอล จะเน้นความเรียบง่าย เป็นสไตล์ที่น้อยแต่มาก ด้วยเฟอร์นิเจอร์จะมีน้อยชิ้น แต่เรียบง่ายและสวยงาม มีความโปร่ง โล่ง และสบายตา ส่วนใหญ่ห้องทำงานสไตล์มินิมอลจะเป็นสีโทนเดียว เช่น สีขาว สีเอิร์ธโทน สีของไม้ สีน้ำตาล โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานที่นำมาใช้ในสไตล์มินิมอลจะเป็นทรงเรียบง่ายตรงกับคอนเซ็ปต์ โดยโทนสีของโต๊ะทำงานในสไตล์นี้จะเป็นโทนสีไม้ หรือสีน้ำตาล เพราะเป็นโทนสีที่มีความกลมกลืนกับสไตล์มินิมอล และโทนสีของไม้ยังช่วยทำให้บรรยากาศสงบและผ่อนคลายจึงทำให้มีสมาธิในการทำงาน อีกทั้งไม้ยังมีความแข็งแรงและทนทานในการใช้งาน ในส่วนของเก้าอี้สำนักงานสามารถเลือกใช้เก้าอี้ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าหรือหนังจะทำให้มีความกลมกลืนกับโต๊ะทำงานได้มากยิ่งขึ้น หากสามารถเลือกผ้าหรือหนังเป็นโทนที่ใกล้เคียงกับโต๊ะทำงานจะยิ่งเพิ่มความสงบ ความผ่อนคลาย ทำให้มีสมาธิในการทำงานได้เป็นอย่างดี ห้องทำงานสไตล์โมเดิร์น จะมีความทันสมัยด้วยรูปทรงเราขาคณิต เช่น สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม หรือวงกลม และอุปกรณ์ที่แฝงไปด้วยเทคโนโลยี โทนสีจะเน้นสีสว่างอาจมีสอดแทรกด้วยสีเข้ม เช่น ดำ เทาซึ่งจะช่วยให้ห้องมีความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหรูหรา โต๊ะทำงานสามารถเลือกรูปทรงสี่เหลี่ยม, ทรงกลม, หรือทรงโค้งก็สามารถเข้ากับสไตล์โมเดิร์นได้เป็นอย่างดี ในส่วนของวัสดุของโต๊ะทำงานสามารถใช้ที่มีโลหะแทรกกับไม้ หรือจะเป็นโต๊ะทำงานที่ผลิตจากโลหะทั้งหมดก็จะช่วยเติมเต็มความเป็นสไตล์โมเดิร์นได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นเทคโนโลยีโต๊ะทำงาน เช่น โต๊ะที่สามารถปรับความสูงของโต๊ะได้เพื่อให้สามารถเปลี่ยนอิริยาบถในการทำงานทั้งการนั่งและการยืนจะช่วยให้ห้องมีความทันสมัยมากขึ้น เก้าอี้สำนักงานเลือกแบบที่ห่อหุ้มด้วยตาข่ายหรือหนังเพราะมีความโฉบเฉี่ยวเข้ากับสไตล์โมเดิร์นได้เป็นอย่างดี ห้องทำงานสไตล์โมเดิร์นจะช่วยสร้างสรรค์งานที่ต้องใช้จินตนาการได้ เช่น งานโฆษณา, ครีเอทีฟ หรือ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ เป็นต้น ห้องทำงานสไตล์วินเทจ เป็นสไตล์ที่มีเสน่ห์ที่ตกแต่งห้องแนวย้อนยุค ทั้งโทนสี รูปร่างของอุปกรณ์ในการตกแต่ง หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ห้องทำงานสไตล์วินเทจจะเข้าได้ดีกับสีพาสเทลทั้งโทนเข้มและโทนอ่อน งานกระเบื้องที่ลายแปลกตาจะทำให้ห้องมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โต๊ะทำงานในสไตล์นี้สามารถใช้งานได้ทั้งแบบโลหะและแบบไม้ แต่แบบโลหะควรเป็นโลหะพ่นสี เช่น สีขาว จะช่วยให้ห้องมีความสว่างมากยิ่งขึ้น ส่วนโต๊ะทำงานไม้สามารถใช้ได้ทั้งโทนไม้เฉดอ่อนและเฉดเข้ม เก้าอี้สำนักงานดีไซน์อาจมีความย้อนยุคเพื่อเสริมให้สไตล์ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ใช้วัสดุในการห่อหุ้มแบบผ้าหรือหนังที่มีสีสัน เช่น สีน้ำตาล สีดำ สีเขียว สีน้ำเงิน เป็นลูกเล่นที่ช่วยสรรค์สร้างไอเดียในการทำงานได้ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องได้เป็นอย่างดี ห้องทำงานสไตล์ลอฟท์ มีความโดดเด่นในด้านความสูงโปร่งของเพดานและการโชว์โครงสร้างของห้องโดยไม่มีการตกแต่ง เช่น ผนังคอนกรีต, ท่อเดินสายไฟ โทนสีส่วนใหญ่ของสไตล์ลอฟท์จะเป็นสีของวัสดุ เช่น สีปูน สีเหล็ก หรือโทนสีที่เกิดจากการตกแต่งจะเป็นสีดำ สีเทา การตกแต่งห้องสไตล์นี้สามารถสอดแทรกสีไม้หรือสีน้ำตาลเข้ามาได้จะช่วยให้ห้องมีความเงียบสงบ มีความเก๋ที่แฝงไปด้วยความเท่ ซึ่งโต๊ะทำงานในสไตล์นี้สามารถใช้สีไม้หรือสีน้ำตาลเข้าไปร่วมได้เพื่อให้ดูมีความอบอุ่นและหรูหรา หรือจะเป็นโต๊ะทำงานโลหะที่พ่นสีดำก็สามารถเข้ากันได้ดีกับสไตล์ลอฟท์ เก้าอี้สำนักงานวัสดุที่ห่อหุ้มใช้ได้ทั้งแบบหนัง ผ้า หรือ ตาข่าย เพียงต้องเลือกเฉดสีให้เข้ากับโทนสีของห้องหรือสีของเฟอร์นิเจอร์ เช่น สีดำ สีเทา สีน้ำตาล เป็นต้น ห้องทำงานสไตล์โคซี่ มีความใกล้เคียงกับสไตล์มินิมอล ทั้งการตกแต่งและโทนสีสไตล์โคซี่จะเน้นสีเอิร์ธโทน เช่น เฉดสีครีม เฉดสีน้ำตาล และสีขาว ซึ่งเป็นทำให้ใกล้กับความเป็นธรรมชาติ เป็นสไตล์ที่มีความสบายตาและสบายใจ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์จะมีดีไซน์เรียบง่ายและมีการตกแต่งห้องที่มากกว่าสไตล์มินิมอล โต๊ะทำงานสามารถใช้ได้ทั้งแบบโลหะพ่นสี เช่น สีขาว และโต๊ะทำงานไม้จะมีความกลมกลืนกับสไตล์โคซี่เป็นอย่างมาก อาจมีฟังก์ชันของโต๊ะ เช่น มีลิ้นชักหรือตู้เล็กเพื่อเพิ่มประโยชน์ในการใช้งาน เก้าอี้สำนักงานควรใช้หนังหรือผ้าเพื่อเข้าธีมธรรมชาติและโทนสีควรใช้สีน้ำตาล ครีม หรือจะใช้สีดำหรือสีเทาก็จะช่วยให้ห้องมีความเก๋และเท่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ห้องทำงานสไตล์แบบลักชัวรี เป็นการแต่งห้องที่แสดงความหรูหรา สง่างาม ที่แฝงไปด้วยความทันสมัย โทนสีที่ใช้มักเป็นสีดำ สีทอง สีเงิน สีขาว สีเทา เฟอร์นิเจอร์จะมีดีไซน์เฉพาะหรือมีดีไซน์ที่โดดเด่น มีความทันสมัยในเครื่องมือและอุปกรณ์ ส่วนใหญ่การตกแต่งห้องสไตล์นี้เจ้าของห้องมักเป็นผู้บริหาร โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานจึงต้องมีความโอ่อ่าและหรูหรา โต๊ะทำงานใช้ได้ทั้งแบบโลหะและแบบไม้แต่ควรเป็นโต๊ะที่มีขนาดใหญ่หรือจะเป็นโต๊ะโค้งที่มีเข้ามุมก็จะช่วยให้ดูมีอำนาจในหน้าที่การงานได้ โทนสีของโต๊ะควรเป็นสีที่ดูหรูหรา เช่น สีดำ สีน้ำตาลเข้ม สีขาว มีฟังก์ชันการใช้งานของโต๊ะทำงานอย่างครบครัน เช่น ลิ้นชักโต๊ะ, ชั้นวางของแบบบานเปิด หรือสามารถปรับความสูงของขาโต๊ะได้ เก้าอี้สำนักงานควรมีดีไซน์ที่ทันสมัย ดูแข็งแรง และมีฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครับ ปรับเอนได้ มีที่รองคอ รองแขน ปรับความสูงของเก้าอี้ได้ หรือมีล้อที่เก้าอี้ โต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานก็สามารถช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงานและเติมเต็มการแต่งห้องทำงานในสไตล์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้การทำงานไม่ดูน่าเบื่อและชวนให้มีพลังในการคิดงานอยู่ตลอดเวลา นอกจากดีไซน์และความสวยงามแล้วโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานยังต้องมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ได้ตรงกับการใช้งาน เช่น โต๊ะทำงาน ฟังก์ชันที่ดีและควรมีคือ มีรางสายไฟ, มีจุดชาร์จโทรศัพท์, มีจุดเสียบปลั๊กไฟ, มีชั้นเก็บของและอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั้งการปรับความสูงต่ำของขาโต๊ะทำงานที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเมื่อต้องนั่งทำงานนาน ๆ เก้าอี้สำนักงาน สามารถปรับความสูงของเก้าอี้ได้, ปรับระดับที่พักแขนหรือคอได้, ปรับเอนพนักพิงได้ รวมไปถึงคุณภาพของวัสดุและมาตรฐานของอุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เพิ่มมากขึ้น Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในสำนักงาน เช่น โต๊ะทำงาน, โต๊ะออฟฟิศ, โต๊ะทำงานเหล็ก, โต๊ะทำงานไม้, โต๊ะประชุม, โต๊ะคอมพิวเตอร์, เก้าอี้สำนักงาน, เก้าอี้ผู้บริหาร, เก้าอี้สำนักงานแบบหนัง รวมไปถึงแท่นวางปริ้นเตอร์และแท่นวาง CPU ผลิตจากวัสดุที่ได้มาตรฐานและการรับประกันของแท้ 100% มีบริการให้คำแนะนำที่จะช่วยให้การสั่งซื้อของคุณเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็วพร้อมบริการหลังการขายที่จากทีมงานมืออาชีพสนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
รูปแบบการจัดโต๊ะทำงานแบบง่าย ๆ เพิ่มสไตล์ เอาใจวัยทำงาน

รูปแบบการจัดโต๊ะทำงานแบบง่าย ๆ เพิ่มสไตล์ เอาใจวัยทำงานการจัดโต๊ะทำงานที่ดีจะช่วยเพิ่มศักยภาพของการทำงาน ในปัจจุบันรูปแบบการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม ลักษณะการทำงาน และเทคโนโลยี สังเกตได้จากออฟฟิศของบริษัทที่มีชื่อเสียงจะมีการออกแบบการจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ส่งเสริมให้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานมากที่สุด ทั้งการออกแบบและการตกแต่ง การเลือกใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานให้มากที่สุด สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีจะช่วยให้พนักงานทำงานลุล่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการจัดวางโต๊ะทำงานซึ่งรูปแบบการจัดวางโต๊ะทำงานในปัจจุบันมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะบางแผนกหรืองานเฉพาะด้านบางอย่างต้องการบรรยากาศในการทำงานที่แตกต่างออกไป รูปแบบในการจัดโต๊ะทำงานในออฟฟิศมีรูปแบบดังต่อไปนี้รูปแบบการจัดโต๊ะทำงานแบบเดี่ยว เป็นการจัดโต๊ะทำงานที่ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิในการคิด ความแม่นยำ การวิเคราะห์ การจัดการที่มีความซับซ้อน ลักษณะโต๊ะทำงานแบบเดี่ยวจะมีหลายขนาดทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในหลายพื้นที่ ทั้งในพื้นที่กว้างหรือพื้นที่แคบหรือการวางเข้ามุมในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของออฟฟิศ จึงทำให้โต๊ะทำงานมีน้ำหนักเบาเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ มีฟังก์ชันเกี่ยวกับอุปกรณ์ในการจัดเก็บอย่างลิ้นชักหรือตู้เก็บของที่น้อยเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกรูปแบบการจัดโต๊ะทำงานแบบกลุ่ม จุดประสงค์เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้ง่ายเป็นการจัดโต๊ะทำงานที่มากกว่า 2 โต๊ะขึ้นไป รูปแบบการจัดโต๊ะทำงานแบบนี้นิยมจัดในออฟฟิศที่มีพนักงานจำนวนมาก เป็นการจัดโต๊ะทำงานที่แยกเป็นแผนกเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เป็นสัดส่วนในการทำงาน และง่ายในการติดต่อสื่อสารกันทั้งในแผนกและต่างแผนก แต่หากอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโต๊ะทำงานแบบเดี่ยวควรมีฉากกั้นเพื่อป้องกันเสียงรบกวน การจัดโต๊ะทำงานแบบกลุ่มมักจะมีอุปกรณ์ในการจัดเก็บเอกสารหรือสิ่งของ เช่น มีลิ้นชัก, ตู้เก็บเอกสาร เนื่องจากการจัดโต๊ะทำงานแบบกลุ่มมักจะมีเอกสารหรืออุปกรณ์ส่วนกลางของแผนกเป็นจำนวนมากจึงต้องมีที่จัดเก็บเอกสารและอุปกรณ์เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยรูปแบบการจัดโต๊ะทำงานสำหรับประชุม โต๊ะทำงานจะมีลักษณะที่ใหญ่ รูปทรงจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักจะผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ มีความแข็งแรงและทนทาน รองรับน้ำหนักได้จำนวนมากเนื่องจากต้องรองรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุมจากคนจำนวนมาก ซึ่งการประชุมเป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อออฟฟิศเพราะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แชร์ไอเดีย แก้ไขปัญหา หรือสั่งการ เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยรูปแบบของโต๊ะทำงานสำหรับประชุมที่จัดในห้องประชุมมีด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ3.1 Board Room เป็นการจัดการประชุมขนาดเล็กประมาณ 4-7 คนเป็นการสื่อสารกันทั่วไป ขนาดของโต๊ะทำงานจะไม่ใหญ่มาก รูปแบบของการประชุมแบบ Board Room จะแบ่งเป็น 2 ฝั่งคือฝั่งที่เป็นผู้นำเสนอและผู้ฟังจุดประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้ร่วมประชุมสนใจไปยังผู้นำเสนอและรายละเอียดของการประชุมให้มากที่สุด 3.2 U-Shape จะมีการวางโต๊ะทำงานลักษณะคล้ายกับตัว U ข้อดีของการจัดรูปแบบการประชุมลักษณะนี้คือทำให้ผู้ร่วมประชุมสามารถมองเห็นและสื่อสารกันได้อย่างชัดเจนและทั่วถึง เป็นการประชุมตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง มักจะมีโปรเจคเตอร์ร่วมในการประชุมด้วยเพื่อนำเสนอการประชุมและพื้นที่ตรงกลางด้านในมักจะใช้เพื่อแจกเอกสารประกอบการประชุม3.3 Class room การจัดวางโต๊ะทำงานจะเรียงแบบโต๊ะเรียนหนังสือในห้องเรียน เป็นลักษณะการประชุมที่เป็นการสื่อสารทางเดียวซึ่งจะมีผู้ร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก เช่น การอบรมพนักงาน โดยผู้พูดจะยืนอยู่ด้านหน้าสุดของโต๊ะทำงาน รูปแบบในการจัดโต๊ะทำงานในออฟฟิศและการประชุมเป็นรูปแบบที่ต้องการส่งเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการทำงานเดี่ยวหรือการทำงานเป็นทีม ซึ่งรูปแบบการจัดโต๊ะทำงานดังกล่าวเป็นการจัดโต๊ะทำงานที่ต้องการสร้างบรรยากาศของการทำงานให้เหมาะกับลักษณะการทำงานของแต่ละบุคคลหรือแต่ละแผนกให้มากที่สุด การทำงานที่ต้องใช้การระดมความคิด หรือต้องการความแม่นยำการจัดโต๊ะทำงานแบบเดี่ยวจะช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น งานที่ต้องการความเห็นหรือไอเดียสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ควรจัดโต๊ะทำงานแบบกลุ่มจะช่วยให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างทันท่วงที ในส่วนของการจัดโต๊ะทำงานในการประชุมเป็นการจัดโต๊ะทำงานที่ต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ผู้จัดประชุมต้องการนำเสนอได้ ลักษณะของการจัดโต๊ะทำงานจึงมีรูปแบบในการจัดเรียงที่ทุกคนสามารถมองเห็นผู้นำเสนอได้อย่างชัดเจนนอกจากรูปแบบการจัดโต๊ะทำงานแล้ว ในปัจจุบันโต๊ะทำงานยังมีประเภทของโต๊ะทำงานที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานทั้งด้านภาพลักษณ์และด้านสุขภาพ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการทำธุรกิจ ภาพลักษณ์ที่ดีนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของธุรกิจ สุขภาพที่ดีของพนักงานนำมาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของธุรกิจ ประเภทของโต๊ะทำงานดังกล่าวมีดังนี้ 1. โต๊ะทำงานผู้บริหารโต๊ะทำงานของผู้บริหารมักจะมีขนาดใหญ่เพื่อรองรับเอกสารและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานเป็นจำนวนมากและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ใช้งาน นอกจากนี้ขนาดโต๊ะทำงานที่ใหญ่ตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าดีสำหรับตำแหน่งผู้บริหารเป็นการแสดงออกถึงการมีอำนาจและบารมีซึ่งมีผลต่อทางด้านจิตใจของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาและผู้ที่มาติดต่อธุรกิจ โต๊ะทำงานผู้บริหารอาจจะเป็นโต๊ะทำงานเหล็ก หรือ โต๊ะทำงานไม้ ก็ได้ มักจะออกแบบโต๊ะให้มีความทันสมัย สวยงาม และหรูหรา เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความน่าเชื่อถือ และมักจะมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เช่น ลิ้นชักเก็บของ, ตู้เก็บของ, ระบบ Central Lock, จุดเสียบปลั๊กไฟ, ท่อร้อยสายไฟ เป็นต้น 2. โต๊ะทำงานปรับระดับเป็นโต๊ะทำงานที่ถูกออกแบบมาตามหลักการยศาสตร์ที่มีผลดีต่อสุขภาพ มีฟังก์ชันพิเศษที่สามารถปรับความสูงของขาโต๊ะได้เพื่อให้ผู้ที่ทำงานสามารถปรับเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างการทำงานจากการนั่งทำงานเป็นการยืนทำงาน ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพเพราะการทำงานที่ดีควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก 30-45 นาที การนั่งทำงานบนเก้าอี้สำนักงานสำหรับในด้านสุขภาพแล้วไม่เพียงแต่ต้องการให้นั่งหลังตรงเท่านั้นแล้ว โต๊ะทำงานปรับระดับยังสามารถปรับระดับความสูงได้อย่างอิสระจึงสามารถทั้งนั่งและยืนทำงานได้ สามารถปรับระดับของแขนให้เหมาะกับสรีระร่างกายของแต่ละบุคคลซึ่งประโยชน์ของโต๊ะปรับระดับจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยจากการทำงาน รวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับการนั่งทำงานในระยะเวลานานเช่น โรคออฟฟิศซินโดรม, โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีผลการวิจัยจาก Mayo Clinic โดย Dr. Lopez Jimmenez ระบุว่าการยืนทำงานสามารถช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการนั่งทำงาน จึงช่วยให้สามารถลดน้ำหนักได้นั้นเอง โต๊ะทำงานปรับระดับที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีด้วยกัน 2 ประเภทคือ โต๊ะทำงานปรับระดับแบบหมุนมือที่จะมีคันโยกเพื่อใช้ในการปรับระดับความสูงของขาโต๊ะทำงาน และโต๊ะทำงานปรับระดับแบบระบบไฟฟ้าที่จะมีมอเตอร์โดยใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพื่อปรับระดับความสูง ซึ่งโต๊ะทำงานทั้งสองประเภทกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ข้อคำนึงในการเลือกโต๊ะทำงานเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเพราะโต๊ะทำงานที่ดีควรมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มีความแข็งแรงและทนทานในการใช้งาน พร้อมฟังก์ชันที่จะช่วยให้การทำงานมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยมีหลักในการคำนึงถึงดังต่อไปนี้การเลือกจากวัสดุ การจัดรูปแบบของโต๊ะทำงานทั้งแบบเดี่ยว, แบบกลุ่ม หรือแบบประชุม ขนาด น้ำหนัก ฟังก์ชันการใช้งาน ความแข็งแรง ความทนทาน และการดูแลในการทำความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกโต๊ะทำงานที่ผลิตจากวัสดุที่มีมาตรฐานเหมาะสมในการใช้งานในแต่ละประเภท เช่น โต๊ะทำงานแบบเดี่ยวควรมีน้ำหนักเบา, โต๊ะทำงานแบบกลุ่มควรมีขนาดใหญ่และมีความแข็งแรง โดยอาจจะเลือกจากวัสดุอย่าง โต๊ะทำงานเหล็ก หรือ โต๊ะทำงานไม้ ตามลักษณะการใช้งาน รูปแบบและสีสัน ในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับออฟฟิศทำงาน หลายบริษัทเริ่มให้ความสนใจในการตกแต่งออฟฟิศโดยมีโต๊ะทำงานเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของบริษัทให้เป็นที่ประทับใจทั้งต่อพนักงานที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและต่อผู้ที่เข้ามาติดต่อธุรกิจที่ช่วยให้ภาพลักษณ์มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นการเลือกความสูงของโต๊ะทำงานควรเป็นความสูงมาตรฐานและมีความสูงที่สอดคล้องกับเก้าอี้สำนักงานซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและลดอาการปวดเมื่อยจากการทำงานซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ในอนาคตการเลือกฟังก์ชันของโต๊ะทำงานควรเลือกให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดโต๊ะทำงาน เช่น โต๊ะทำงานแบบเดี่ยวไม่ควรมีฟังก์ชันมากเพราะจะได้มีน้ำหนักที่เบาเนื่องจากต้องมีการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆโต๊ะทำงานเป็นอุปกรณ์ที่ทุกออฟฟิศต้องมีเป็นอุปกรณ์หลักในการใช้ทำงานที่ออกแบบมาเพื่อให้การทำงานถูกต้องกับสรีระร่างกายของมนุษย์มากที่สุด รวมไปถึงใช้ในการวางหรือจัดเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นเฟอร์นิเจอร์ในการตกแต่ง และเป็นตัวแทนในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเป็นกลไกที่ช่วยให้ธุรกิจเจริญเติบโตทั้งทางตรงและทางอ้อม Jenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจำหน่าย โต๊ะทำงาน, โต๊ะสำนักงาน, โต๊ะทำงานเหล็ก, โต๊ะทำงานไม้, โต๊ะอเนกประสงค์ ผลิตจากวัสดุคุณภาพ พื้นผิวเรียบ ลิ้นชักสไลด์ง่าย ขาปรับระดับความสูงได้ ภายใต้แบรนด์คุณภาพพรีเมียมที่ได้มาตรฐาน มีการรับประกันสินค้าเป็นของแท้ 100% พร้อมบริการหลังการขายอย่างมืออาชีพ พร้อมจัดส่งสินค้าตามความต้องการและความเหมาะสมให้กับธุรกิจของคุณ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
How to ทิ้ง? ทิ้งลงถังขยะอย่างไรที่ช่วยลดปัญหาขยะล้นโลก

How to ทิ้ง? ทิ้งลงถังขยะอย่างไรที่ช่วยลดปัญหาขยะล้นโลกถังขยะแยกประเภทไอเทมสำคัญที่ช่วยลดจำนวนขยะปัญหาขยะล้นโลกกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังหาวิธีในการแก้ไขปัญหา ในประเทศไทยเองก็มีปัญหาขยะล้นเมืองอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ปริมาณขยะในกรุงเทพมหานครในปี 2565 มีปริมาณขยะ 10,706 ตันต่อวัน คิดเฉลี่ยต่อประชากรในกรุงเทพมหานคร 1 คนสามารถสร้างทิ้งขยะได้วันละ 2-3 กิโลกรัม แต่สามารถแยกขยะและนำไปรีไซเคิลได้เพียง 3,672 ตันต่อวันเท่านั้น ซึ่งปัญหาใหญ่ที่ทำให้สามารถนำขยะมารีไซเคิลได้น้อยเกิดจากประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพไม่แยกขยะและทิ้งขยะไม่ถูกประเภทของถังขยะจึงทำให้ขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ปนเปื้อนไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ หรือหากต้องการนำมารีไซเคิลต้องนำมาล้างทำความสะอาดก่อนซึ่งทำให้เสียทั้งเวลาและงบประมาณ หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมีการจัดเตรียมถังขยะแยกประเภทกระจายไปยังพื้นที่สาธารณะและแหล่งชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนคัดแยกขยะได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ซึ่งถังขยะแยกประเภทจะมีสีที่แตกต่างกันตามประเภทของขยะเพื่อให้ประชาชนสามารถแยกขยะได้ถูกต้อง โดยแต่ละสีมีความหมายดังนี้1. ถังขยะสีเขียว ใช้สำหรับทิ้งขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว เช่น ผัก ผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ โดยขยะชนิดนี้สามารถนำมาหมักเพื่อทำเป็นปุ๋ยได้ 2. ถังขยะสีเหลือง ใช้สำหรับทิ้งขยะที่สามารถนำมารีไซเคิลหรือขยะมูลฝอยที่ยังใช้งานได้ เช่น แก้ว กระดาษ พลาสติก โลหะ เป็นต้น 3. ถังขยะสีแดง ใช้สำหรับทิ้งขยะที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์, ขวดยา, ถ่านไฟฉาย, กระป๋องสีสเปรย์, กระป๋องยาฆ่าแมลง, บรรจุภัณฑ์สารอันตรายต่าง ๆ เป็นต้น 4. ถังขยะสีน้ำเงิน ใช้สำหรับทิ้งขยะหรือมูลฝอยทั่วไป หรือขยะประเภทอื่นนอกเหนือจากขยะที่ใส่ในถังขยะสีอื่น ซึ่งที่ไม่เป็นพิษและไม่คุ้มค่าในการรีไซเคิล เช่น ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่มีการปนเปื้อน, พลาสติกห่อลูกอม, ซองบะหมี่สำเร็จรูป, ถุงพลาสติก, กล่องโฟมและฟอยล์ที่เปื้อนอาหาร เป็นต้น 5. ถังขยะสีส้มหรือบางครั้งก็ใช้เป็นถังขยะสีแดง ใช้สำหรับทิ้งขยะติดเชื้อ ขยะทางการแพทย์ในการตรวจ รักษา วินิจฉัย เช่น หน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว, ถุงมือ, กระดาษชำระ, สำลี, ผ้าก๊อซ เป็นต้น หลังจากที่มีการกระจายถังขยะแยกประเภทไปตามพื้นที่ต่าง ๆ แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการประชาสัมพันธ์การคัดแยกขยะและการทิ้งขยะลงถังขยะแยกประเภทให้กับประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีความรู้และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง โดยเริ่มให้ความรู้ตั้งแต่ในครัวเรือน, ชุมชน, สถานประกอบการ, อาคารสำนักงาน, สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้า ซึ่งข้อกำหนดในการคัดแยกขยะ ดังนี้ 1. ข้อกำหนดในการคัดแยกขยะในสถานประกอบการและชุมชน ก่อนทิ้งขยะลงถังขยะควรต้องมีการคัดแยกขยะตามประเภทของขยะ โดยมีการคัดแยกขยะแต่ละประเภทดังนี้1.1 ขยะเปียกควรแยกระหว่างเศษอาหารกับเศษใบไม้เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุดก่อนทิ้งลงถังขยะ 1.2 ขยะรีไซเคิลก่อนนำไปทิ้งลงถังขยะรีไซเคิลควรแยกขยะรีไซเคิลแต่ละชนิดออกจากกันก่อนนำไปทิ้งถังขยะหรือคัดแยกเพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างถูกต้อง เช่น นำไปขาย หรือบริจาคให้กับหน่วยงานที่ต้องการขยะรีไซเคิล โดยขยะรีไซเคิลมีทั้งหมด 4 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ 1.2.1 กระดาษ ควรแยกตามประเภทของกระดาษ เช่น หนังสือพิมพ์, สมุด, หนังสือ, กล่องกระดาษ, ลัง และเศษกระดาษ ออกจากกันแล้วมัดแยกประเภทไว้ 1.2.2 ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว เช่น ขวดแก้ว ควรกำจัดผลิตภัณฑ์ที่อยู่ด้านในออกไปให้หมดจากนั้นนำไปทำความสะอาดแล้วจึงนำไปทิ้งลงถังขยะหรือสามารถนำไปขายได้ 1.2.3 ผลิตภัณฑ์จากพลาสติก เช่น ขวดน้ำพลาสติก, ถุงพลาสติก, ช้อนส้อมพลาสติก ควรกำจัดผลิตภัณฑ์ที่อยู่ข้างในออกให้หมดจากนั้นจึงนำไปทำความสะอาด โดยหากเป็นขวดพลาสติกควรบีบขวดให้แบนเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บโดยแยกระหว่างพลาสติกขุ่นและพลาสติกใสแล้วจึงนำไปใส่ในถังขยะ ส่วนถุงพลาสติกและช้อนส้อมพลาสติกหากทำความสะอาดแล้วก็สามารถนำไปทิ้งลงในถังขยะรีไซเคิลได้เลย 1.2.4 ผลิตภัณฑ์โลหะหรืออโลหะ เช่น กระป๋องน้ำอัดลม, กระป๋องน้ำผลไม้, กระป๋องเบียร์, อะไหล่เครื่องยนต์, หม้อ, กระทะ ก่อนนำทิ้งถังขยะต้องเทผลิตภัณฑ์ในกระป๋องออกให้หมดและล้างน้ำทำความสะอาดบีบให้แบนเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บ ดึงฝาอะลูมิเนียมออกจากกระป๋องและผึ่งให้แห้ง หลังจากนั้นควรแยกประเภทของโลหะหรืออโลหะ และรวบรวมชิ้นส่วนทั้งหมดเพื่อนำไปรีไซเคิลซึ่งโลหะหรืออโลหะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ทุกชิ้นส่วน หรือหากนำไปขายก็สามารถขายได้ราคา 1.3 ขยะอันตรายต้องจัดเก็บให้มิดชิดและควรทิ้งขยะลงในถังขยะอันตรายโดยเฉพาะ ซึ่งถังขยะควรต้องมีความมิดชิดและแข็งแรงและควรรองด้วยถุงขยะสีแดงเพื่อป้องกันการรั่วไหล 1.4 ขยะติดเชื้อโดยเฉพาะหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจ วินิจฉัย หรือรักษา ควรทิ้งลงในถุงขยะสีส้มหรือสีแดงจำนวน 2 ชั้น และปิดปากถุงให้แน่นโดยบริเวณที่มัดปากถุงควรเช็ดแอลกอฮอล์ และจึงนำไปถึงลงในถังขยะติดเชื้อ 1.5 ขยะทั่วไปเป็นประเภทของขยะที่ไม่สามารถนำมาทำประโยชน์ได้จึงควรทิ้งลงถังขยะทั่วไปโดยเฉพาะเพื่อให้สามารถนำไปกำจัดได้ทันทีไม่ต้องมาเสียเวลาในการคัดแยกอีก 2. สถานที่ในการเก็บกักขยะที่คัดแยกควรเป็นบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่กีดขวางทางเดิน อยู่ห่างจากสถานที่ประกอบอาหาร ที่รับประทานอาหาร และแหล่งน้ำดื่มเพื่อป้องกันการปนเปื้อน 3. ห้ามเก็บกักขยะอันตรายไว้รวมกัน โดยให้แยกเก็บเป็นประเภท ๆ หากเป็นของเหลวให้ใส่ถังหรือภาชนะบรรจุที่มิดชิดและไม่รั่วไหล หากเป็นของแข็งหรือกึ่งของแข็งให้เก็บใส่ถังขยะหรือภาชนะที่แข็งแรง 4. หากมีการใช้น้ำทำความสะอาดวัสดุคัดแยกแล้วหรือวัสดุเหลือใช้ที่มีไขมันหรือตะกอนน้ำมันปนเปื้อน จะต้องระบายน้ำเสียนั้นผ่านตะแกรงและบ่อดักไขมันก่อนระบายสู่ท่อน้ำสาธารณะ 5. ห้ามเผา หลอม สกัดเพื่อคัดแยกโลหะมีค่าหรือทำลายขยะในบริเวณที่พักอาศัยหรือพื้นที่ที่ไม่มีระบบป้องกันไม่มีการควบคุมของเสียเพื่อป้องกันอันตรายและการไหลรั่วของสารพิษที่อาจก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้ การคัดแยกให้ทิ้งขยะลงในถังขยะแยกประเภทเป็นการแก้ปัญหาขั้นพื้นฐานที่จะช่วยให้สามารถคัดแยกขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะขยะแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันจึงส่งผลให้ขยะแต่ละชนิดมีระยะเวลาในการย่อยสลายที่สั้นหรือยาวที่ต่างกันและมีวิธีในการกำจัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทิ้งขยะลงถังขยะแยกประเภทจะช่วยให้คัดแยกขยะที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้งส่งผลให้ปริมาณขยะมีจำนวนลดน้อย และขยะที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ต้องถูกฝังกลบก็มีจำนวนลดน้อยลงเช่นเดียวกัน จึงทำให้สิ่งแวดล้อมมีความเสี่ยงที่ลดน้อยในการถูกทำลาย ซึ่งกรุงเทพมหานครเองก็มีแผนระยะยาวในการลดปริมาณขยะโดยตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (2556-2575) มีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะในกรุงเทพมหานครให้เหลือศูนย์หรือลดจำนวนขยะที่ต้องกำจัดไม่เกิน ร้อยละ 20 และต้องเปลี่ยนวิธีทิ้งขยะและกำจัดขยะจากการฝังกลบที่ปัจจุบันขยะส่วนใหญ่ต้องถูกกำจัดด้วยวิธีฝังกลบถึงร้อยละ 80 ให้เหลือเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น โดยจะหันมาสร้างโรงไฟฟ้าขยะให้มากขึ้นเพื่อให้นำขยะกลับมาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายถังขยะรีไซเคิล, ถัง ขยะ 4 สี, ถังขยะอันตราย, ถังขยะพลาสติก, ถังขยะแยกประเภท, ถังขยะเทศบาล ที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ มีความแข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา และสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายเพื่อเพิ่มความสะดวกในการคัดแยกขยะ มีหลายขนาด หลายรูปทรงให้เลือกใช้งาน มีทั้งแบบมีฝาปิดและไม่มีฝาปิด อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุกรูปแบบ พร้อมบริการหลังการขายที่สามารถให้คำแนะนำได้อย่างมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเราWebsite : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ประกอบล้อรถเข็นอย่างไร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน

ประกอบล้อรถเข็นอย่างไร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานการติดตั้งล้อรถเข็นที่ดีจะช่วยให้การเคลื่อนย้ายมีประสิทธิภาพหลายคนอาจจะคุ้นเคยล้อรถเข็นอุปกรณ์ทรงกลมที่มักถูกยึดติดกับอุปกรณ์หลากหลายชนิด เช่น รถเข็นช้อปปิ้ง, รถเข็น 4 ล้อ, รถเข็นสัมภาระ หรือใช้ติดตั้งในเฟอร์นิเจอร์เช่น ชั้นวางสินค้า, เก้าอี้สำนักงาน ล้อรถเข็นจึงเป็นอุปกรณ์ที่ในทุกอุตสาหกรรมต้องนำมาใช้งาน เพื่อให้การเคลื่อนย้ายมีความรวดเร็ว คล่องตัว และปลอดภัย โดยการติดตั้งและการประกอบล้อรถเข็นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะการเลือกใช้ล้อรถเข็นนอกจากจะต้องมีการเลือกใช้ล้อรถเข็นจากวัสดุที่เหมาะกับลักษณะการทำงานแล้ว ยังต้องเลือกวิธีการติดตั้งและใส่ล้อรถเข็นที่เหมาะสมเพื่อให้ตอบโจทย์ในการใช้งานให้มากที่สุด โดยมีองค์ประกอบและรูปแบบในการติดตั้งดังต่อไปนี้ประเภทของล้อรถเข็น ซึ่งแบ่งแยกความแตกต่างตามรูปแบบของการเคลื่อนที่มีด้วยกัน 3 ประเภทใหญ่ๆ คือล้อเป็นหรือล้อรถเข็นแบบหมุน สามารถหมุนได้รอบทิศทาง 360 องศา จึงมีความโดดเด่นในการเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ มีความคล่องตัวสูง มีความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ และมีความสะดวกในการใช้งาน นิยมใส่รอรถเข็นชนิดนี้ในรถเข็นช้อปปิ้งล้อตายหรือล้อรถเข็นแบบตายตัว ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงคือเดินหน้าและถอยหลัง ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ 360 องศาเหมือนล้อรถเข็นแบบเป็นได้ เพราะโครงสร้างของล้อรถเข็นเป็นแบบยึดคงที่ จึงทำให้มีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรองรับน้ำหนักจำนวนมาก ๆ ได้มากกว่าล้อรถเข็นแบบเป็น นิยมใช้ในงานที่ต้องเข็นสิ่งของที่มีน้ำหนัก, พื้นขรุขระ หรืองานกลางแจ้ง จึงมักใส่ล้อรถเข็นชนิดนี้ในรถเข็นสำหรับขนของล้อเบรกหรือล้อรถเข็นติดเบรก เป็นล้อรถเข็นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถควบคุมทิศทางได้ โดยที่ล้อรถเข็นจะมีโครงขา และชิ้นส่วนที่ทำให้ล้อรถเข็นหยุดเคลื่อนที่ ทำให้สามารถควบคุมล้อรถเข็นได้อย่างแม่นยำ ซึ่งล้อรถเข็นติดเบรกจะช่วยให้มีความปลอดภัยในการเคลื่อนย้าย นิยมใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ๆ เช่น เครื่องจักร หรือใช้ในงานทางการแพทย์ เช่น เตียงโรงพยาบาล ฯลฯ ซึ่งล้อรถเข็นแบบติดเบรกมีด้วยกัน 6 ประเภทล้อรถเข็นแบบเบรกนิรภัย การทำงานของเบรกจะถูกควบคุมโดยน้ำหนักหากน้ำหนักเบาเบรกชนิดนี้จะทำงานเพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนที่แต่หากมีน้ำหนักกดลงจะสามารถเคลื่อนที่ได้ นิยมใส่ล้อชนิดนี้กับรถเข็นที่ต้องกระจายน้ำหนักในการเคลื่อนที่ เช่น รถเข็นผู้ป่วยหรือใช้สำหรับเก้าอี้สำนักงานก็ได้เช่นกันล้อรถเข็นแบบเบรกรีเวิร์ส การทำงานของเบรกชนิดนี้ตรงข้ามกับล้อรถเข็นแบบเบรกนิรภัย นิยมใส่ล้อชนิดนี้กับเก้าอี้สำนักงานที่พื้นห้องมีแรงเสียดทานสูง เช่น ปูด้วยพรม หรือรถเข็นที่ใช้ขนสัมภาระในสนามบินล้อรถเข็นแบบเบรกด้านข้าง สามารถควบคุมการหยุดของล้อได้ด้วยการใช้เท้าเหยียบที่แป้นบังคับหรือใช้มือบิดที่เบรกที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งจะทำให้แป้นเบรกและล้อชิดเข้าหากันจึงทำให้ล้อไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ นิยมใช้กับรถเข็นที่ใช้กับงานเบา ๆ และมีราคาไม่แพงล้อรถเข็นแบบเบรกหน้าสัมผัส การทำงานคล้ายกันกับเบรกด้านข้างแต่จะมีความต่างที่แป้นเบรกจะมาอยู่ด้านหน้าซึ่งแยกออกมาจากแป้นเชื่อมของล้อรถเข็น ข้อดีของเบรกหน้าสัมผัสจะสามารถควบคุมแรงกดระหว่างตัวเบรกกับล้อรถเข็นได้ตามความต้องการล้อรถเข็นแบบล็อก จุดประสงค์ของล้อเบรกชนิดนี้เพื่อความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายเพราะ สามารถล็อกล้อรถเข็นและขาของล้อรถเข็นได้ในการกดล็อกครั้งเดียวและสามารถคลายล็อกได้ตามที่เราต้องการโดยอาจจะใช้มือหรือเท้าในการควบคุมการล็อกของล้อรถเข็น ใช้งานได้ดีกับพื้นที่เรียบ ลื่น แรงเสียดทานต่ำ นิยมใช้กับรถเข็นอเนกประสงค์, รถเข็น 4 ล้อ ฯลฯล้อรถเข็นแบบเบรกล็อก 2 จังหวะ โดยมีระบบเบรกในการหยุดการเคลื่อนที่ 2 จังหวะคือที่ล้อรถเข็นและขาของล้อรถเข็น เบรกของล้อรถเข็นชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการล็อกที่แน่นหนาเหมาะสำหรับการใช้งานรถเข็นแบบนั่งร้านการใช้งานล้อรถเข็นทั้ง 3 แบบ สามารถใช้งานร่วมกันได้ โดยส่วนใหญ่ล้อรถเข็นแบบตายมักจะติดตั้งร่วมกันกับล้อรถเข็นแบบหมุน เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสินค้ามีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ส่วนล้อรถเข็นแบบเบรกก็สามารถติดตั้งร่วมกับล้อรถเข็นแบบเป็นหรือแบบตายได้เพื่อสร้างความปลอดภัยในการเคลื่อนที่โดยเฉพาะสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ๆ ที่ยากต่อการควบคุมทิศทาง ซึ่งการติดตั้งหรือประกอบล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมมีการวางล้อรถเข็นหลายรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานในแต่ละลักษณะงานโดยรูปแบบในวางล้อรถเข็นมีดังนี้รูปแบบการวางล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมล้อรถเข็นแบบหมุน 3 ลูก รูปแบบการวางล้อรถเข็นจะเป็นสามเหลี่ยมโดยมีจำนวน 2 ล้อที่วางที่มุมและอีก 1 ล้อวางในตำแหน่งกึ่งกลางของขอบเหมาะสำหรับใช้ในงานที่ไม่หนัก เคลื่อนย้ายสิ่งของหรือสินค้าที่มีน้ำหนักน้อย ๆ เนื่องจากมีความคล่องตัวสูงและรวดเร็วในการเคลื่อนที่ สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีจำกัดหรือที่มีความคดเคี้ยวได้ดีเพราะล้อรถเข็นชนิดนี้สามารถหมุนได้ 360 องศา จึงสามารถซอกแซกในพื้นที่แคบ ๆ ได้ล้อรถเข็นแบบหมุน 4 ลูก รูปแบบการวางล้อรถเข็นจะวางตรงมุมทั้งสี่ด้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีการใช้งานเหมือนล้อรถเข็นแบบหมุน 3 ล้อ แต่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าและมีความมั่นคงในการเคลื่อนที่หรือรับน้ำหนักอยู่กับที่ได้ดีกว่า เลี้ยวในพื้นที่มีลักษณะแคบได้ แต่อาจไม่เหมาะกับการเข็นเป็นเส้นตรงในระยะไกลและทางที่มีความลาดชัน นิยมใช้กับรถเข็นช้อปปิ้ง, รถเข็นที่ใช้ในโรงแรมล้อรถเข็นแบบหมุน 2 ล้อและแบบตายตัว 2 ล้อแบบที่ 1 รูปแบบการวางล้อรถเข็นจะวางตรงมุมทั้งสี่ด้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นรูปแบบการติดตั้งล้อรถเข็นที่นิยมใช้โดยทั่วไป เนื่องจากสามารถรับน้ำหนักได้ดี การเคลื่อนที่หรือการเลี้ยวมีความคล่องตัว สามารถเข็นเป็นเส้นตรงในระยะทางไกลหรือขึ้น-ลงทางที่ลาดชันได้ดี แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่แคบ นิยมใช้ในรถเข็นอเนกประสงค์, รถเข็นอุปกรณ์ช่างล้อรถเข็นแบบหมุน 2 ล้อและแบบตาย 2 ล้อแบบที่ 2 รูปแบบการวางล้อรถเข็นจะวางกึ่งกลางของทั้งสี่ด้านหรือที่เรียกว่ารูปทรงขนมเปียกปูนการวางลักษณะแบบนี้จะช่วยให้สามารถรับน้ำหนักได้ดี สามารถเลี้ยวในพื้นที่จำกัด และหมุนรอบตัวเองได้ดีกว่าแบบที่ 1 สามารถเคลื่อนที่ในระยะไกลได้ นิยมใช้ในรถเข็นอเนกประสงค์, รถเข็นผ้าล้อรถเข็นแบบเป็น 2 ล้อและแบบตาย 2 ล้อใช้งานคู่กับพวงมาลัย โดยพวงมาลัยจะใช้ในการควบคุมการเลี้ยวที่ชุดล้อหน้าเพื่อให้สามารถเลี้ยวได้ขณะดึงรถเข็น นิยมใช้สำหรับรถเข็นที่มีการบรรทุกสินค้าหรือสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ เช่น ในงานเกษตร หรือรถเข็นที่ใช้ในการแคมป์ปิ้งหรือรถเข็นที่ใช้บนชายหาดล้อรถเข็นแบบหมุน 4 ล้อและแบบตาย 2 ล้อ รูปแบบการวางล้อรถเข็นจะมีจำนวน 4 ล้อที่วางไว้ทั้งสี่มุมและมีอีก 2 ล้อที่วางไว้ตรงกลางของด้านยาวทั้งสองด้าน ด้วยจำนวนล้อรถเข็นที่มีจำนวนถึง 6 ล้อจึงสามารถบรรทุกสินค้าหรือสิ่งของที่มีน้ำหนักมากและมีความยาวที่มากได้ มีความมั่นคงสูง สามารถเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงได้ง่ายและเลี้ยวได้ดี จึงเบาแรงในการขนย้ายในระยะไกล ไม่เหมาะใช้งานในที่แคบ นิยมใช้กับรถเข็นที่ต้องบรรทุกของหนัก ๆ เป็นต้นสำหรับล้อรถเข็นแบบติดเบรกสามารถใช้ร่วมกับรูปแบบการวางล้อรถเข็นทั้ง 6 รูปแบบได้แต่ไม่ได้มีรูปแบบตายตัวโดยอาจจะมีการใช้ล้อรถเข็นแบบติดเบรกแทนล้อรถเข็นแบบล้อเป็นหรือล้อตายซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและความต้องการของผู้ใช้งานซึ่งส่วนมากล้อรถเข็นแบบติดเบรกจะเน้นใช้งานเพื่อความปลอดภัยในการเคลื่อนที่เป็นหลักรูปแบบการติดตั้งและประกอบขาของล้อรถเข็นล้อรถเข็นแบบขาแป้นหรือแบบเพลท ซึ่งจะเป็นแผ่นโลหะทรงสี่เหลี่ยมใช้สำหรับติดตั้งยึดระหว่างล้อรถเข็นและฐานของรถเข็นโดยจะเจาะรูทั้ง 4 มุมและใช้สกรูในการยึดการติดตั้งแบบนี้เหมาะสำหรับใช้งานกับอุปกรณ์เคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่ต้องรับน้ำหนักจำนวนมาก ล้อรถเข็นแบบเกลียวหรือแกนเกลียว มีขั้นตอนในการติดตั้งน้อยกว่าแบบเพลท ซึ่งล้อรถเข็นแบบเกลียวมีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบสกรูและแบบรู โดยการติดตั้งจะเป็นการขันเกลียวทั้ง 2 แบบ โดยใช้การหมุนเพื่อให้ยึดเข้ากับช่วงล่างของฐานรถเข็นที่มีแกนหรือรูต๊าปเกลียว สามารถเพิ่มความแข็งแรงด้วยการยึดร่วมกับเหล็กฉาก นิยมใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ต้องรับน้ำหนักจำนวนมากแต่หากต้องการเพิ่มความแข็งแรงสามารถเลือกขนาดของขาเกลียวให้มีความยาวเพิ่มขึ้นได้ ล้อรถเข็นแบบปลั๊กอิน เป็นการติดตั้งโดยใช้การสวมหรือแบบเสียบเข้าไป ลักษณะคล้ายกับลูกล้อแบบขาเกลียว แต่ชิ้นส่วนที่ใช้ยึดจะเป็นเดือยหรือแกนแหวนล็อก จึงง่ายและรวดเร็วในการติดตั้ง นิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ เช่น เก้าอี้ ชั้นวางของ หรือรถเข็นที่รับน้ำหนักได้ไม่มาก แต่หากต้องการเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักให้มากขึ้นให้เลือกใช้ล้อรถเข็นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและเพิ่มความยาวของแกนจะทำให้มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น การประกอบล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีองค์ประกอบที่มากมายเป็นส่วนประกอบเนื่องจากการนำไปใช้งานมีความแตกต่างกันออกไปจึงทำให้คุณสมบัติของล้อรถเข็นแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันเพื่อให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้ การเลือกใช้งานและติดตั้งล้อรถเข็นได้อย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งานต้องคำนึงถึงเพราะหมายถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งานที่ผู้ใช้งานจะได้รับซึ่งมีผลต่อการดำเนินธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายล้อรถเข็น และล้ออุตสาหกรรม SUPO ซึ่งเป็นล้อรถเข็นคุณภาพสูงนำเข้าจากต่างประเทศ ใช้ระบบ Ball Bearing เป็นพื้นฐานในการผลิตซึ่งช่วยให้ล้อมีประสิทธิภาพสูงในการออกตัวและผ่อนแรงในการเข็น มีเสียงรบกวนที่ต่ำเพียง 25dBA พร้อมชุดซีลกันฝุ่นเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของล้อรถเข็น ผลิตด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง และออกแบบตามหลักวิศวกรรมยานยนต์ จึงมั่นใจได้ในความแข็งแรงและทนทานพร้อมการรับประกันสินค้าถึง 1 ปีเต็ม พร้อมทั้งทีมงานหลังการขายที่พร้อมให้คำปรึกษาในการเลือก ล้อรถเข็นให้ตรงกับการใช้งานในธุรกิจของคุณ มีทั้งล้อยาง ล้อยูรีเทน ล้อไนล่อน สนใจสินค้าติดต่อเราWebsite : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ลังพลาสติกพับได้ บรรจุได้มากและประหยัดพื้นที่เมื่อจัดเก็บ

ลังพลาสติกพับได้ บรรจุได้มากและประหยัดพื้นที่เมื่อจัดเก็บ ลังพลาสติกพับได้ ที่มีหลากหลายขนาดและโดดเด่นในการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ การจัดเก็บในอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญเพราะหมายถึงการรักษาคุณภาพของสินค้าให้ยังคงมีคุณภาพที่ดี มีสภาพที่สมบูรณ์เหมาะสมในการนำไปผลิตหรือส่งต่อไปยังผู้รับปลายทาง อุปกรณ์จัดเก็บจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ต้องมีคุณภาพ แข็งแรง ทนทาน และปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งลังพลาสติกก็เป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาใช้งานในการจัดเก็บในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เนื่องจากลังพลาสติกสามารถใช้เก็บสินค้าได้หลากหลายประเภท เช่น ผัก, ผลไม้, ชิ้นส่วนอุปกรณ์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรืออะไหล่เครื่องยนต์ เพราะลังพลาสติกมีการออกแบบที่หลากหลายรูปแบบและหลากหลายขนาด นอกจากจะออกแบบเพื่อใช้ในการจัดเก็บแล้วลังพลาสติกยังมีการออกแบบให้สามารถพับได้เพื่อให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บและสะดวกในการขนย้าย ซึ่งลังพลาสติกประเภทนี้เรียกว่า ลังพลาสติกพับได้ ลังพลาสติกพับได้ เป็นประเภทของลังพลาสติกที่สามารถถอดพับเพื่อเก็บหรือวางซ้อนกันได้เพื่อประหยัดพื้นที่ ขณะพับจะมีขนาดเล็กจึงช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บเมื่อไม่มีใช้งาน ลังพลาสติกพับได้เหมาะสำหรับจัดเก็บสินค้าที่มีน้ำหนักไม่เยอะมาก ลักษณะของโครงสร้างมีความทนทานต่อการขีดข่วน และมีสลักล็อกหลายจุดซึ่งมีไว้เพื่อยึดไม่ให้กล่องพับลงมาเมื่อมีการซ้อนกันและช่วยเพิ่มความแข็งแรงเมื่อประกอบเป็นลังพลาสติก ซึ่งลังพลาสติกพับได้ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมมีหลายประเภทและมีคุณสมบัติที่โดดเด่นที่แตกต่างกันโดยประเภทของลังพลาสติกพับได้มีดังนี้ ประเภทของลังพลาสติกพับได้ ลังพลาสติกทึบพับได้ แบบมีฝาและไม่มีฝาปิด มีคุณสมบัติที่ช่วยในการปกป้องสินค้าจากแสงแดดเพื่อป้องกันสินค้าหรือวัตถุดิบเสื่อมคุณภาพ ซึ่งทำให้เกิดการสูญเปล่าได้ในธุรกิจ ซึ่งลังพลาสติกทึบพับได้แบบมีฝาจะช่วยป้องกันฝุ่นและแมลงที่อาจเข้าไปทำลายสินค้าหรือวัตถุดิบ ส่วนลังพลาสติกทึบพับได้แบบไม่มีฝาสามารถนำมาซ้อนกันได้เพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ มีความสะดวกในการหยิบใช้ ลังพลาสติกทึบทั้งสองแบบนิยมใช้ในการขนส่ง การหมุนเวียนในการกระจายสินค้า และการขนย้ายสินค้าหรือวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรม โกดังสินค้า ระบบลำเลียงสินค้า เป็นต้น ลังพลาสติกใสพับได้ แบบมีฝาปิดและไม่มีฝาปิด ลังพลาสติกใสพับได้จะมีคุณสมบัติที่สามารถมองเห็นสินค้าหรือวัตถุดิบด้านในได้ซึ่งทำให้สามารถแยกหมวดหมู่ของสินค้าได้ ลดความเสี่ยงในการหยิบสินค้าหรือวัตถุดิบผิด ง่ายในการตรวจเช็กจำนวนยอดคงเหลือของสินค้าและวัตถุดิบ ง่ายต่อการค้นหา และสามารถใช้งานแบบอเนกประสงค์ได้ ลังพลาสติกใสพับได้แบบมีฝาปิดจะช่วยเก็บรักษาสินค้าหรือวัตถุดิบภายในไว้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันสิ่งของตกหล่นหรือสูญหายระหว่างขนย้าย ช่วยลดฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าสู่ภายใน และสามารถวางซ้อนกันได้จึงสะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน ลังพลาสติกใสพับได้แบบไม่มีฝาปิดสามารถวางซ้อนกันได้หลายชั้นและสะดวกในการหยิบสินค้าหรือวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้งาน ลังพลาสติกใสพับได้แบบมีประตูเปิดข้างด้านยาว มีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานและช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ เนื่องจากลังพลาสติกใสพับได้แบบมีประตูเปิดด้านข้างยาวจะสามารถหยิบสินค้าหรือวัตถุดิบออกมาใช้งานได้ถึงแม้จะมีการวางซ้อนกันของลังพลาสติกโดยที่ไม่ต้องยกลังพลาสติกออก จึงเหมาะสมในการจัดเก็บสินค้าหรือวัตถุดิบที่ต้องมีการหยิบใช้งานบ่อย ๆ และประตูเปิดด้านข้างยังมีสลักล็อกเพื่อใช้ในการเปิด-ปิดตึงประตูเอาไว้ ซึ่งจะช่วยไม่ให้สินค้าตกหล่นออกมาด้านนอก รวมไปถึงการป้องกันแมลงและฝุ่นที่อาจเข้าใปด้านในของลังพลาสติกได้อีกด้วย ลังพลาสติกโปร่งพับได้ แบบที่มีฝาปิดและไม่มีฝาปิด ที่เรียกว่าลังพลาสติกแบบโปร่งเนื่องจากลังพลาสติกประเภทนี้จะมีรูระบายอากาศอยู่รอบ ๆ ลังพลาสติกคล้ายตะกร้า มีคุณสมบัติในการถ่ายเทอากาศได้ดี ช่วยป้องกันการอับชื้น กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และการช้ำได้จึงเหมาะสำหรับใช้ในการขนวัตถุดิบทางการเกษตร เช่นผักและผลไม้ และยังช่วยให้จัดเรียงผักและผลไม้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้อีกด้วย โดยเฉพาะผลไม้อย่างลองกอง ลำไย เป็นต้น มีความสะดวกในการยก-ย้ายเพราะจะมีช่องด้านข้างของลังพลาสติกสำหรับสอดมือเพื่อยก-ย้ายลังพลาสติก ซึ่งลังพลาสติกโปร่งพับได้แบบไม่มีฝาปิดจะช่วยให้สะดวกสบายในการหยิบจึงเหมาะสำหรับใช้ในการจัดเก็บ, จัดแสดงสินค้า, จัดส่งสินค้าทางการเกษตร หรือใช้ในระบบ PRE-COOLING ระบบทำความเย็นเร็วเพื่อรักษาความสดของพืชผักได้เป็นอย่างดี ส่วนลังพลาสติกพับได้แบบโปร่งพร้อมฝาปิดจะช่วยป้องกันการตกหล่นของผักและผลไม้ไม่ให้เสียหายเหมาะสำหรับการใช้หมุนเวียนในการกระจายสินค้า ลังพลาสติกพับได้ฝาซิกแซก ด้วยการออกแบบฝาปิดแบบสลับฟันปลาจึงสามารถป้องกันน้ำ ฝุ่น หรือแมลงที่เข้าไปภายในลังพลาสติก และยังช่วยป้องกันสินค้าหรือวัตถุที่อยู่ภายในได้เป็นอย่างดี มีตัวล็อกที่แน่นหนาและแข็งแรงจึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขนย้ายสินค้า มีช่องด้านข้างของลังพลาสติกใช้สำหรับให้มือจับเพื่อยก-ย้าย และยังสามารถซ้อนเก็บได้จึงช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ บางรุ่นจะมีร่องหรือปุ่มนูนบนฝาลังพลาสติกเพื่อป้องกันการไหลของลังพลาสติกที่วางซ้อนกัน ลังพลาสติกพับได้แบบป้องกันไฟฟ้าสถิต ใช้ในการจัดเก็บอุปกรณ์ที่ไวต่อไฟฟ้าสถิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้งานกับเครื่องจักร เช่น ระบบลำเลียง, เครื่องประกอบชิ้นส่วนอัตโนมัติ ส่วนใหญ่สีของกล่องมักเป็นสีดำ มีความทนทานต่อการสึกหรอ การกัดกร่อน และป้องกันความชื้นได้ดี เทคนิคในการเลือกลังพลาสติกพับได้ในการใช้งาน เลือกรูปแบบลังพลาสติกพับได้ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน เช่น มีฝาปิด ไม่มีฝาปิด หรือลังพลาสติกสีใส สีทึบ เพราะลังพลาสติกแต่ละประเภทมีคุณสมบัติโดดเด่นที่แตกต่างกันหากนำไปใช้งานได้ถูกต้องกับลักษณะงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เลือกลังพลาสติกพับได้ที่มีขนาดที่เหมาะสมและมีโครงสร้างที่แข็งแรง และควรบรรจุสินค้าให้มีน้ำหนักตามที่ลังพลาสติกระบุไว้เพื่อความปลอดภัยในการยก-ย้าย ควรตรวจสอบสลักล็อกของลังพลาสติกพับได้ว่ามีความแข็งแรงหรือชำรุดก่อนตัดสินใจซื้อหรือก่อนนำมาใช้งาน ควรเลือกใช้ลังพลาสติกพับได้ที่ได้มาตรฐาน ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี มีแข็งแรงทนทาน และมีคุณสมบัติทนต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ได้ เช่น ความร้อน/เย็น น้ำมัน สารเคมี หรือความชื้น เพื่อให้สามารถใช้ในการจัดเก็บ การขนส่ง หรือการขนย้ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการเก็บรักษาลังพลาสติกพับได้ เมื่อใช้งานเสร็จแล้วให้ล้างทำความสะอาดและเช็ดส่วนต่าง ๆ ให้แห้งสนิทก่อนพับเก็บเข้าที่ทุกครั้ง และควรวางซ้อนกันให้ลงล็อกพอดี ไม่ควรวางซ้อนกันสูงจนมากเกินขีดความสามารถในการรับน้ำหนักเพราะอาจทำให้ลังพลาสติกหล่นแตกชำรุดเสียหายหรือตกใส่ร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และห้ามวางใกล้เปลวไฟโดยเด็ดขาด Jenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจำหน่ายกล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ลังพลาสติกอเนกประสงค์,ลังพลาสติกพับได้, ลังพลาสติกกระจายสินค้า, ถังพลาสติก ฯลฯ ผลิตจากพลาสติกคุณภาพสูง ไม่มีกลิ่นฉุน, โครงสร้างแข็งแรงสามารถวางซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความเสียหายและยังช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ มีอายุการใช้งานยาวนาน ทั้งยังสามารถทำความสะอาดได้ง่าย รับประกันสินค้าคุณภาพของสินค้า พร้อมยินดีให้คำแนะนำและบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องกวาดพื้น รู้แบบนี้มีไว้นานแล้ว!

เครื่องกวาดพื้น รู้แบบนี้มีไว้นานแล้ว! เครื่องกวาดพื้นยกระดับมาตรฐานความสะอาด ที่ดีทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เครื่องกวาดพื้นเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขจัดสิ่งสกปรกที่อยู่บนพื้นตั้งแต่ฝุ่นขนาดเล็กจนถึงขยะชิ้นใหญ่ ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำความสะอาดและเป็นเครื่องทุ่นแรงของแม่บ้านโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่มักจะมีฝุ่นและสิ่งสกปรกที่เกิดจากการทำงานอยู่ตลอดเวลา เครื่องกวาดพื้นถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจดโดยสามารถทำความสะอาดได้ทุกขนาดพื้นที่ ไม่ว่าจะเล็ก กลาง ใหญ่ และยังสามารถใช้งานได้ทั้ง Indoor และ Outdoor ซึ่งเครื่องกวาดพื้นสามารถกวาดเศษขยะและดูดฝุ่นได้ภายในเครื่องเดียว อีกยังสามารถขจัดคราบที่ฝังแน่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เครื่องกวาดพื้นนิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม, ลานจอดรถ, ศูนย์แสดงสินค้า, ศูนย์ประชุม, ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, โรงเรียน, คลังสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้า เป็นต้น อันตรายของฝุ่น ภัยร้ายที่กำจัดได้โดยเครื่องกวาดพื้น ฝุ่นละอองที่มีขนาด 1-10 ไมครอน ซึ่งหากสูดดมเข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานานจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ เช่น เนื้อเยื่อปอด หรือก่อให้เกิดเป็นพังผืดหรือแผลได้ ซึ่งจะส่งผลให้ปอดเสื่อมประสิทธิภาพและก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ถุงลมโป่งพอง และโรคทางเดินหายใจ ซึ่งฝุ่นขนาดดังกล่าวมักเกิดจากกระบวนการเผาไหม้หรือกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม หากไม่กำจัดออกไปจะเป็นมลพิษต่อพนักงานเป็นอย่างมาก เครื่องกวาดพื้นจึงเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีเพื่อใช้กวาดและดูดฝุ่นออกไปเพื่อให้อากาศมีความบริสุทธิ์มากที่สุด นอกจากนั้นฝุ่นละอองในอากาศยังมีผลเสียต่อสิ่งก่อสร้างและวัตถุต่าง ๆ หากมีการสะสมเป็นเวลานานจะทำให้สิ่งก่อสร้างเกิดการกัดกร่อนได้ทำให้สิ่งก่อสร้างและวัตถุเสื่อมสภาพและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ และที่สำคัญการปราศจากฝุ่นช่วยให้สิ่งแวดล้อมสะอาดและถูกสุขอนามัยมากยิ่งขึ้น หลักการทำงานของเครื่องกวาดพื้น เครื่องกวาดพื้นจะทำความสะอาดเบ็ดเสร็จทั้งหมดในเครื่องเดียวตั้งแต่การกวาดเศษขยะไปไว้ในถังเก็บขยะภายในตัวเครื่อง มอเตอร์จะทำหน้าที่ในการกระจายฝุ่นด้วยแปรงและดูดฝุ่นเข้าไปภายในเครื่องกวาดพื้นและส่งไปที่ฟิลเตอร์กรองฝุ่นเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นและส่งต่อไปยังถังเก็บฝุ่น โดยการเคลื่อนที่ของแปรงจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับการเดินทางเพื่อให้สิ่งสกปรกถูกโยนไปด้านหน้าของเครื่องกวาดพื้นและจะถูกดูดเข้าไปภายในของเครื่องด้านในสุด และบางรุ่นของเครื่องดูดฝุ่นหากกวาดฝุ่นผงขนาดเล็กสามารถยกแปรงใหญ่ภายนอกทั้ง 2 ข้างขึ้นได้ เพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างเข็นทำให้เคลื่อนไหวและทำความสะอาดได้ดี นอกจากนั้นอาจจะมีแปรงเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แปรงใต้เครื่องเพื่อช่วยกวาดฝุ่นผงขนาดเล็กให้หมดจดและช่วยลดการฟุ้งของฝุ่นระหว่างกวาดได้อีกด้วย ประเภทของเครื่องกวาดพื้น เครื่องกวาดพื้นเข็นตาม ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก ไม่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ จึงใช้งานง่าย ดูแลง่าย และยังช่วยประหยัดพลังงาน เครื่องกวาดพื้นเดินตาม มี 2 ชนิดโดยแบ่งตามรูปแบบของพลังงานที่ใช้ในการทำความสะอาด คือ พลังงานเครื่องยนต์และพลังงานแบตเตอรี่ ซึ่งเครื่องกวาดพื้นประเภทนี้ใช้มือและการเดินในการควบคุมทิศทางโดยจะมีระบบที่มือจับในการปรับระดับความเร็วในการทำความสะอาดได้ เครื่องกวาดพื้นแบบนั่งขับ มี 2 ระบบเหมือนเครื่องกวาดพื้นเดินตามแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าและมีฟังก์ชันเพิ่มขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบายในการทำความสะอาดโดยจะมีที่นั่งสำหรับผู้ที่ควบคุมเครื่องกวาดพื้นโดยบริเวณที่นั่งจะมีระบบการสั่งการทำความสะอาดทั้งหมด ซึ่งเครื่องกวาดพื้นประเภทนี้มักใช้ในสถานที่ที่มีพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, โรงเรียน, โรงพยาบาลเพื่อความรวดเร็วและประหยัดเวลาในการทำความสะอาด ประโยชน์ของเครื่องกวาดพื้น ทำความสะอาดได้อย่างหมดจด เครื่องกวาดพื้นสามารถทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึงเพราะมีพลังงานในการทำความสะอาดที่สูงในการดูดสิ่งสกปรกไม่ว่าจะมีอนุภาคขนาดเล็กหรืออนุภาคขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้ดีกว่าการใช้มือจึงช่วยให้สถานที่มีความสะอาดถูกสุขอนามัยในการดำเนินธุรกิจ และยังสามารถทำความสะอาดได้หลากหลายพื้นผิวอีกด้วย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เครื่องกวาดพื้นช่วยลดต้นทุนทางด้านแรงงาน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์ในการทำงานความสะอาดเนื่องจากเครื่องกวาดพื้นสามารถทำความสะอาดในบริเวณพื้นที่กว้างได้ในเครื่องเดียว ช่วยทุ่นแรงในการทำความสะอาด เนื่องจากเครื่องกวาดพื้นสามารถทำความสะอาดในพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, ลานจอดรถ ได้อย่างหมดจดและทั่วถึงโดยใช้แรงงานเพียงคนเดียวในการควบคุมการทำงานความสะอาดโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยพื้นก็สะอาดได้อย่างหมดจด มีความรวดเร็ว เครื่องกวาดพื้นมีความรวดเร็วเป็นอย่างมากในการทำความสะอาด ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาทีในการทำความสะอาดพื้นที่ขนาดใหญ่ เนื่องจากมีเส้นทางทำความสะอาดที่กว้างจึงทำให้ประหยัดเวลาเป็นอย่างมาก ใช้งานง่าย เพราะมีปุ่มที่ใช้ในการควบคุมแบบอัตโนมัติซึ่งแม่บ้านอาจจะต้องเข้าฝึกอบรมวิธีการใช้งานเครื่องกวาดพื้นแต่ก็ใช้เวลาไม่นาน มีความปลอดภัย เนื่องจากเครื่องกวาดพื้นใช้น้ำและสารเคมีในปริมาณที่น้อยกว่าการทำความสะอาดด้วยมือ จึงทำให้มีความปลอดภัยต่อการใช้งานทั้งคนที่ใช้งานเครื่องกวาดพื้นและสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นยังไม่ทำลายพื้นผิวของพื้นจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของพื้นได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันสุขภาพ เครื่องกวาดพื้นสามารถกวาดฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กได้ ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้สูดอากาศบริสุทธิ์และทำให้ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ ช่วยป้องกันการสึกหรอของสิ่งก่อสร้างและวัตถุ เพราะฝุ่นสามารถกัดกร่อนและทำลายพื้นผิวของสิ่งก่อสร้างได้ ซึ่งเครื่องกวาดพื้นสามารถกำจัดฝุ่นออกไปจากพื้นได้อย่างหมดจด เครื่องกวาดพื้นมีความทนทานต่อการใช้งานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ข้อควรปฏิบัติในการใช้เครื่องกวาดพื้น ควรศึกษาคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดและการซ่อมบำรุงต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ควรใช้เครื่องกวาดพื้นกับพื้นที่เปียก ควรนำถังเก็บขยะ ถังเก็บฝุ่นไปทิ้งทันทีเมื่อเต็มและควรทำความสะอาดหรือเปลี่ยนแผ่นกรองฟิลเตอร์ทุก 3 เดือนเพื่อให้สามารถดูดฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ห้ามใช้น้ำล้างทำความสะอาดเครื่องกวาดพื้นโดยเด็ดขาด ควรใช้ลมเป่าฝุ่นหรือสิ่งสกปรกแล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดเท่านั้น สำหรับเครื่องกวาดพื้นแบบแบตเตอรี่ควรตรวจสอบแบตเตอรี่ก่อนใช้งานหากมีสัญญาณเตือนแบตเตอรี่ใกล้หมดควรรีบชาร์จทันทีถึงแม้จะใช้งานอยู่ สำหรับเครื่องกวาดพื้นที่ใช้แบตเตอรี่หลังการใช้งานควรชาร์จแบตเตอรี่หลังการใช้งานทุกครั้งจะได้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับเครื่องกวาดพื้นที่ใช้เครื่องยนต์ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเดือนละหนึ่งครั้ง เมื่อต้องการซ่อมบำรุงควรปิดระบบทั้งหมดและต้องสวมอุปกรณ์เซฟตี้ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยในการซ่อมบำรุง ห้ามใช้กวาดเศษขยะที่เป็นเส้นยาว ๆ เช่น เส้นด้าย, ลวด, เชือก, ไนลอน เพราะอาจจะทำให้พันกับแปรงซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ Jenstore by Jenbunjerd เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทำความสะอาดอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นเครื่องกวาดพื้น, เครื่องกวาดฝุ่น ที่ใช้งานได้ง่าย ทำความสะอาดพื้นได้อย่างหมดจดแม้แต่ขอบห้อง ด้วยมีระบบแปรงหมุนคู่ และรวดเร็วในการทำความสะอาดมากกว่าคนถึง 10 เท่า ซึ่งผลิตจากวัสดุคุณภาพดี มีมาตรฐาน มีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน สามารถปรับความสูงได้ สามารถกำจัดได้ทั้งขยะเปียกและขยะแห้ง มีความสะดวกและช่วยประหยัดแรงเป็นอย่างมากสนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
มารู้จักภาชนะพลาสติก Food Grade ความปลอดภัยที่ต้องคำนึกถึงในธุรกิจอาหาร

มารู้จักภาชนะพลาสติก Food Grade ความปลอดภัยที่ต้องคำนึกถึงในธุรกิจอาหารกล่องพลาสติก ภาชนะที่ธุรกิจอาหารต้องมีพลาสติก Food Grade เป็นประเภทของพลาสติกที่ปลอดภัยสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในอาหาร นิยมนำมาใช้ในการทำภาชนะเพื่อบรรจุอาหาร เช่น กล่องพลาสติก, จานพลาสติก, ถ้วยพลาสติก, ขวดน้ำดื่ม นอกจากภาชนะพลาสติกที่เห็นทั่วไปแล้ว ในธุรกิจอาหารหรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหารก็ต้องมีภาชนะพลาสติกฟู้ดเกรด เพื่อรองรับส่วนผสมหรือวัตถุดิบของอาหารที่จะใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นภาชนะขนาดใหญ่ เช่น ถังพลาสติก, ลังพลาสติก หรือกล่องพลาสติก ซึ่งการใช้งานของภาชนะพลาสติก Food Grade มีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกันตามประเภทของพลาสติกซึ่งประเภทของพลาสติกที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้บรรจุอาหารและเครื่องดื่มมีด้วยกัน 12 ชนิดแต่ที่นิยมนำมาใช้ในการทำภาชนะพลาสติก Food Grade มี 5 ชนิดด้วยกัน คือPP (Polypropylene-PP) พลาสติกพอลิโพรไพลีน คุณสมบัติเด่นคือมีจุดหลอมเหลวสูงจึงทนต่อความร้อน มีความใส ป้องกันความชื้นได้ดี และมีความหนาแน่นต่ำ มักใช้เป็นพลาสติกฟู้ดเกรดบรรจุอาหารที่มีความร้อน เช่น ถุงร้อน ซองบรรจุอาหารแห้ง กล่องพลาสติก ลังพลาสติก ถาดพลาสติก และตะกร้าพลาสติกPET (Polyethylene Terephthalate) พลาสติกพอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต มีความเหนียวยืดหยุ่นได้ดี ป้องกันการรั่วซึมของก๊าซได้ และทนทานต่อแรงกดทับ นิยมนำมาทำเป็นพลาสติกฟู้ดเกรดสำหรับ ขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำมัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารแช่แข็ง และบรรจุภัณฑ์แบบสุญญากาศHDPE (High Density Polyethylene) พลาสติกพอลิเอทิลีน คุณสมบัติเด่นทนทานต่อความเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งได้ดี มีความหนาแน่นสูง มีความยืดหยุ่น ทนทานต่อการแตก หัก ทนทานต่อสารเคมี ป้องกันการซึมผ่านของความชื้นได้สูงมาก สามารถทำให้มีสีสันสวยงามได้ นิยมใช้ทำพลาสติกฟู้ดเกรดสำหรับภาชนะของอาหารแช่แข็ง เช่น กล่องพลาสติก ลังพลาสติกสำหรับแช่อาหารในห้องแช่แข็งLDPE (Low Density Polyethylene) พลาสติกพอลิเอทิลีน คุณสมบัติเด่นสามารถป้องกันความชื้นได้ดีมาก อากาศและไขมันซึมผ่านได้ มีความยืดหยุ่นดี ทนต่อการฉีกขาด มีความเหนียว ทนต่อกรดและด่าง ไม่ทนต่อความร้อน นิยมนำมาผลิตเป็นพลาสติกฟู้ดเกรดสำหรับ ถุงเย็น ขวดน้ำ ฝาขวดน้ำLLDPE (Linear Low Density Polyethylene) พลาสติกพอลิเอทิลีน มีความหนาแน่นต่ำ มีความใสมันวาว และมีความนิ่ม เป็นพลาสติกฟู้ดเกรดที่ทนต่อความร้อน ความเย็นและความดันสูงได้ เนื่องจากทนความร้อนได้สูงจึงสามารถผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบสเตอริไลเซชั่น เพื่อให้อาหารที่อยู่ใน Retort Pouch ปราศจากจุลินทรีย์ และยังนำมาทำเป็นถังพลาสติกที่ใส่ของที่ต้องรักษาความเย็นได้ หรือถังโฟมที่ใช้เก็บรักษาอาหารสดแทนตู้เย็นภาชนะพลาสติก Food Grade ถึงแม้จะมีลักษณะของวัสดุที่คล้ายกันแต่การใช้งานก็แตกต่างกันออกไปตามสารตั้งต้นในการผลิต ซึ่งหากนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องอาจทำให้อาหารปนเปื้อนซึ่งอันตรายต่อสุขภาพของผู้ที่รับประทานเข้าไป ตัวอย่าง เช่น กล่องพลาสติกฟู้ดเกรด กับไมโครเวฟ ควรเลือกใช้กล่องพลาสติกที่ทำจากพลาสติกประเภท PP เพราะมีความสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้ โดยสามารถดูสัญลักษณ์ไมโครเวฟ เซฟ (Microwave Safe) หรือไมโครเวฟเอเบิล (Microwavable) ในภาชนะพลาสติกที่ต้องการจะใช้งาน หรือลังพลาสติกหรือถังพลาสติกที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องอยู่ในห้องแช่เย็นเพื่อรักษาคุณภาพของวัตถุดิบก่อนผลิตควรเลือกใช้ลังพลาสติกหรือถังพลาสติกที่ผลิตจาก PP และ HDPE เพราะทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ ภาชนะพลาสติก Food Grade ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อรองรับจุดประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นมาทำความรู้จักกับภาชนะพลาสติก Food Grade ที่ช่วยให้โลกของธุรกิจอาหารสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นภาชนะพลาสติก Food Grade ที่ใช้ง่ายและปลอดภัยต่อสุขภาพกล่องพลาสติก เป็นภาชนะที่นิยมใช้กันในการบรรจุอาหารไม่ว่าจะในภาคครัวเรือน ร้านอาหาร หรือธุรกิจด้านอาหารและโรงงานอุตสาหกรรม เพราะมีความสะดวกและมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานตั้งแต่ กล่องอาหารพลาสติกที่นำใช้สำหรับบรรจุอาหารสำหรับกลับบ้าน ที่มีช่องแบ่งเพื่อแยกอาหารแต่ละประเภทมีตั้งแต่ 2 ช่อง ถึง 5 ช่อง หรือกล่องพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหารหรือวัตถุดิบเพื่อเก็บรักษาในตู้เย็น ช่องแช่เย็น หรือในห้องเย็น ซึ่งจะมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ สามารถเลือกใช้งานได้ตามขนาดและปริมาณที่ใช้ในการบรรจุ แต่หากเป็นกล่องพลาสติกที่ใช้ในการเก็บรักษาวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีขนาดใหญ่ที่บรรจุได้หลายกิโลกรัมจึงต้องมีความแข็งแรง และทนทาน มีทั้งแบบมีฝาปิดและมีตัวล็อค หรือไม่มีฝาปิดก็ได้ลังพลาสติก ส่วนใหญ่จะใช้ในธุรกิจผลิตอาหารในโรงงานอุตสาหกรรม ทำมาจากพลาสติกฟู้ดเกรดชนิด PP และ HDPE ใช้ในการเก็บรักษาวัตถุดิบหรือส่วนผสมในการผลิตอาหาร ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ลังพลาสติกแบบโปร่งใช้บรรจุผัก ผลไม้ เพราะมีรูระบายอากาศหรือน้ำอยู่บริเวณโดยรอบของลังพลาสติกและยังสามารถทับซ้อนกันได้โดยที่ไม่ทำลายผักหรือผลไม้ที่อยู่ภายใน ลังพลาสติกแบบทึบมีทั้งแบบฝาปิดและไม่มีฝาปิดสามารถบรรจุวัตถุดิบได้หลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ผักที่หั่นแล้ว สามารถเก็บในห้องเย็นได้ นอกจากนั้นยังสามารถเป็นลังอเนกประสงค์ที่สามารถใช้บรรจุสิ่งของที่ไม่ใช่อาหารได้อีกด้วยถังพลาสติก เป็นถังพลาสติกหล่อที่ทำมาจากพลาสติก LLDPE ที่มีเนื้อหนา แข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้มากส่วนใหญ่จะใช้ใส่ของที่ต้องรักษาความเย็น มีทั้งแบบทรงกลมและสี่เหลี่ยม และสามารถเลือกแบบมีฝาปิดหรือไม่มีฝาปิดได้เหมาะสำหรับใส่ของเพื่อรักษาความเย็น หรือจะเป็นถังพลาสติกโฟม ที่อัดโฟมไว้ด้านในด้วยเครื่องฉีดอัตโนมัติ ทำให้รักษาความเย็นได้นานถึง 2 วัน มีรูระบายเพื่อระบายน้ำ เหมาะกับการเก็บอาหารสดแทนตู้เย็น ถังพลาสติกมีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน มีความจุเป็นลิตรจานพลาสติก ถ้วยพลาสติก จานพลาสติก ถ้วยพลาสติกส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติกฟู้ดเกรด PET ใช้ใส่อาหารทั้งของเย็น - ของร้อนมีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน เนื่องจากเป็นพลาสติกฟู้ดเกรด จึงปราศจากสารก่อมะเร็ง โดยส่วนใหญ่จานพลาสติก ถ้วยพลาสติกมักใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง แต่ปัจจุบันนิยมใช้เป็นจานกระดาษเนื่องจากย่อยสลายได้ง่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ากล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก หรือจานพลาสติก เป็นแค่ส่วนหนึ่งของภาชนะพลาสติกที่ผลิตจากพลาสติก Food Grade ที่นำมาใช้ในธุรกิจอาหารหรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งนอกจากใส่อาหารและเครื่องดื่มแล้ว กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก ยังสามารถนำมาใช้ใส่ยา อาหารเสริม หรือเครื่องสำอางได้อีกด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่มีการใช้กับร่างกายมนุษย์ไม่ว่าจะใช้กิน ใช้ทา ควรเลือกใช้ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติก Food Grade เพื่อป้องกันสารปนเปื้อนที่จะเข้าสู่อาหาร ยา หรือเครื่องสำอางก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งหากต้องการรู้ว่ากล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก จานพลาสติก หรือบรรจุภัณฑ์ที่เราเลือกใช้เป็นพลาสติก Food Grade หรือไม่สามารถสังเกตุได้จากตัวเลขที่อยู่ในสัญลักษณ์ เช่น 1 PETE, 2 HDPE, 4 LDPE, 5 PP หรือรูปแก้วกับส้อม ซึ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก จานพลาสติก หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกทำจากพลาสติก Food Grade มีความปลอดภัยในการใช้งาน นอกเหนือจากสัญลักษณ์ที่แสดงบนภาชนะว่าผลิตจากพลาสติก Food Grade แล้ว การผลิตที่ได้มาตรฐานเป็นอีกหนึ่งข้อที่ต้องคำนึงถึงโดยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องคือ มอก. 2884 และ 2744-2559 ที่ทุกภาชนะที่ผลิตจากพลาสติก Food Grade ควรต้องมีJenstore by Jenbunjerd เป็นศูนย์รวมจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บสินค้า และภาชนะพลาสติก Food Grade ที่ได้มาตรฐานการส่งออก เช่น กล่องพลาสติก ลังพลาสติก ถังพลาสติก พาเลทพลาสติก สำหรับใช้ในงานทั่วไปหรือสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งานนอกเหนือไปจากการให้บริการผลิต จัดจำหน่าย จัดหา และส่งออก ผลิตภัณฑ์สินค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มของกล่องพลาสติกลังพลาสติก ถังพลาสติก และพาเลทพลาสติก จากแบรนด์สินค้าคุณภาพที่มีความหลากหลายมากที่สุดของประเทศไทยแล้วนั้น ที่ Jenstore by Jenbunjerd ในฐานะผู้นำเกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรม ที่มีสินค้าให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลายกว่า 10,000 ที่มีความครอบคลุม ครบถ้วน และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่เจนบรรเจิดยังมาพร้อมด้วยบริการให้แนะนำเกี่ยวกับการเลือกซื้อ เลือกใช้งาน หรือเลือกผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในหมวดหมู่ต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในแวดวงของสินค้าอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน เพื่อช่วยให้ลูกค้าทุกคนได้รับสินค้าที่มีความเหมาะสมกับการนำมาใช้งานในแต่ละธุรกิจและอุตสาหกรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มการเคลื่อนย้ายและล้ออุตสาหกรรม รถเข็น รถเข็น 2 ล้อ รถเข็น 4 ล้อ รถเข็นสแตนเลส รถแฮนด์ลิฟท์ รถเข็นแม่บ้าน รถเข็นทำความสะอาด รถลากพาเลท ล้อรถเข็น ล้อยาง สินค้าในกลุ่มอุปกรณ์จัดเก็บสินค้า กล่องพลาสติก พาเลทพลาสติก ลังพลาสติก อุปกรณ์เครื่องมือช่าง ตู้เก็บเครื่องมือช่าง บันไดอลูมิเนียม ชั้นวางของเหล็ก โต๊ะสแตนเลส โต๊ะช่าง ถังขยะ ถาดรองสารเคมี และพัดลมอุตสาหกรรม ที่พร้อมสำหรับการช่วยยกระดับให้การจัดเก็บ ยก ย้าย ภายในธุรกิจและอุตสาหกรรมสามารถช่วยตอบสนองต่อความต้องการในการใช้งานสินค้าอุตสาหกรรมในทุกระดับและทุกอุตสาหกรรมของลูกค้าได้อย่างเบ็ดเสร็จและมีความครบวงจรมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เจนสโตร์ พร้อมที่จะให้บริการในการเลือกหาสินค้าให้กับธุรกิจของคุณ พร้อมยังมีการบริการหลังการขายที่พร้อมให้การดูแล เพราะความพึงพอใจของคุณ คือสิ่งที่ เจนสโตร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ชาวออฟฟิศต้องรู้! ปรับระดับเก้าอี้สำนักงานอย่างไร ช่วยลดความเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม

ชาวออฟฟิศต้องรู้! ปรับระดับเก้าอี้สำนักงานอย่างไร ช่วยลดความเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม การปรับระดับเก้าอี้สำนักงานให้ห่างไกลจากออฟฟิศซินโดรม การนั่งทำงานนาน ๆ เป็นภัยร้ายที่ก่อให้เกิดโรคร้ายได้อย่างไม่คาดคิด ซึ่งอาชีพที่เสี่ยงมากที่สุดคือพนักงานออฟฟิศที่ส่วนใหญ่ต้องทำงานอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน หากนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้ จากข้อมูลเชิงสถิติโดยโรงพยาบาลสมิติเวช พบว่า คนไทยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำงานในออฟฟิศมักมีอาการออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเกิดจากการนั่งทำงานในอิริยาบถเดิม ๆ หรือนั่งทำงานในท่านั่งที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน จึงมีผลทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น บริเวณหลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ส่งผลกระทบต่อสายตาและการมองเห็น หลายองค์กรจึงให้ความสำคัญต่อโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่พนักงานออฟฟิศต้องใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะเก้าอี้สำนักงานที่ต้องมีความใส่ใจในการเลือกใช้เก้าอี้ที่สามารถช่วยปรับเปลี่ยนท่านั่งได้หรือนั่งทำงานได้อย่างถูกต้องตามหลักการยศาสตร์มากที่สุด ซึ่งเก้าอี้สำนักงานที่ดีควรสามารถปรับระดับในส่วนประกอบต่าง ๆ ของเก้าอี้ได้เพื่อให้สอดคล้องกับสรีระของผู้นั่ง และสามารถปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้ระหว่างการนั่งทำงานเพื่อลดอาการปวดเมื่อยจากการนั่งนาน ๆ ให้มากที่สุด การปรับระดับเก้าอี้สำนักงานให้ห่างไกลจากออฟฟิศซินโดรม การปรับระดับของขาเก้าอี้ ควรปรับระดับความสูงของขาเก้าอี้สำนักงานให้มีความสูงที่พอดีกับส่วนสูงของผู้นั่งเพื่อที่ผู้นั่งจะได้ไม่ต้องก้มหรือเงยมากเกินไปซึ่งหากมีความสูงที่มากเกินไปหรือเตี้ยเกินไปจะทำให้สรีระอยู่ในทิศทางที่ผิดรูปและทำให้เกิดอาการปวดได้ สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ว่าเก้าอี้ได้ถูกปรับระดับความสูงให้เหมาะสมกับความสูงของร่างกายหรือไม่ โดยสังเกตที่เข่าว่าสามารถงอได้ 90 องศาและเท้าสามารถวางระนาบและทิ้งน้ำหนักได้เท่ากันทั้งสองข้างหรือไม่ การปรับระดับเบาะรองนั่ง การปรับเลื่อนเบาะรองนั่งมีความสัมพันธ์กับการปรับระดับความสูงของเก้าอี้สำนักงาน ซึ่งการปรับเลื่อนเบาะรองนั่งควรมีระยะห่างระหว่างข้อพับกับเบาะรองนั่งประมาณ 2-3 นิ้ว โดยที่เข่ายังทำมุม 90 องศา การปรับระดับที่วางแขน ที่วางแขนควรปรับระดับให้มีระดับที่พอดีกับโต๊ะทำงาน เพราะจะช่วยให้สรีระของแขนถูกวางในตำแหน่งที่ถูกต้องซึ่งจะช่วยลดอาการเกร็งของคอ บ่า ไหล่ ได้เป็นอย่างดี การปรับระดับที่รองศีรษะ การปรับระดับที่รองศีรษะให้พอดีกับคอจะช่วยให้ลำคอและศีรษะอยู่ในท่าตรง ช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ โดยการปรับที่รองศีรษะที่ดีควรให้ระดับสายตาพอดีกับจอของคอมพิวเตอร์เพื่อไม่ให้ก้มหรือเงยคอมากเกินไป การปรับระดับพนักพิง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกระดูกสันหลังโดยในช่วงเวลาของการทำงานควรปรับให้หลังตั้งตรงหรือให้อยู่ในแนวที่เหมาะสมประมาณ 90-100 องศา เพื่อไม่ให้หลังค่อมและไหล่ห่อ และเมื่อต้องการเปลี่ยนอิริยาบถก็สามารถปรับเอนพนักพิงหลังให้เอนนอนได้เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังจากการนั่งทำงานนาน ๆ นอกจากการปรับระดับเก้าอี้สำนักงานให้สอดคล้องกับสรีระร่างกายตามหลักการยศาสตร์แล้ว พฤติกรรมท่านั่งของผู้นั่งเองก็ต้องมีการปรับเพื่อให้นั่งทำงานบนเก้าอี้สำนักงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างมาก เพราะหากผู้นั่งไม่ปรับเปลี่ยนการนั่งให้ถูกต้อง การปรับระดับต่าง ๆ ของเก้าอี้สำนักงานก็ไม่สามารถสร้างประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพร่างกายของผู้นั่งได้ ท่านั่งที่ถูกต้องเมื่อนั่งทำงานบนเก้าอี้สำนักงาน ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ การนั่งหลังตรง หลายครั้งที่นั่งทำงานไปนาน ๆ เราอาจจะเผลอนั่งหลังค่อมโดยไม่รู้ตัวทั้งที่เก้าอี้สำนักงานก็ถูกปรับเพื่อให้เรานั่งตัวตรงแล้ว เชื่อว่าพนักงานออฟฟิศหลายคนต้องเคยเป็นมาก่อนซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เคยนั่งลักษณะเช่นนี้มานานจนติดเป็นนิสัย ซึ่งการนั่งหลังค่อมจะทำให้กระดูกสันหลังเกร็งค้างและจะเกิดการเมื่อยล้าตลอดเวลาหากนั่งค่อมในระยะยาวจะทำให้กระดูกคดงอผิดรูปถาวร ดังนั้นเมื่อนั่งทำงานอาจจะต้องฝึกให้ตัวเองนั่งหลังตรงตลอดเวลาซึ่งในช่วงแรก ๆ อาจจะยังไม่คุ้นเคยแต่ในระยะยาวร่างกายจะเคยชินซึ่งเป็นผลดีอย่างมากต่อสุขภาพของกระดูกสันหลังจะไม่มีอาการปวดหลังและปวดคอ นอกจากนั้นยังช่วยส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่ดีได้อีกด้วย หลังควรแนบกับพนักพิง บางคนชอบนั่งตรงขอบเก้าอี้และใช้ศีรษะพิงพนักเก้าอี้แทนเป็นท่านั่งที่มีลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอนเป็นการนั่งที่ใช้หลังนั่งแทนก้นซึ่งท่าดังกล่าวจะทำให้รู้สึกสบายแต่มีผลเสียอย่างมากเพราะกล้ามเนื้อคอที่ต้องคอยรับน้ำหนักศีรษะตลอดเวลาและกล้ามเนื้อเอวต้องรับแรงกดเป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดการปวดหลัง การนั่งที่ถูกต้องเมื่อนั่งตัวตรงแล้วหลังควรที่จะแนบกับพนักพิงของเก้าอี้ บริเวณก้นกบไม่ควรมีช่องว่าง ซึ่งเก้าอี้สำนักงานในปัจจุบันได้มีการออกแบบให้มีพนักพิงที่แนบชิดกับหลังเพื่อลดความปวดเมื่อยและนั่งได้สบายมากขึ้นและยังมีที่รองศีรษะที่ช่วยรองรับน้ำหนักทำให้คอไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป ซึ่งส่วนของศีรษะเวลานั่งก็ควรตั้งตรงและก้มหน้าประมาณ 10-15 องศาเพื่อให้สายตาขนานกับพื้นช่วยลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ หรือหากต้องการฝึกการนั่งหลังตรงสามารถใช้เบาะรองหลังได้ จะช่วยให้นั่งหลังตรงได้อัตโนมัติ ช่วยรับน้ำหนัก ทำให้แผ่นหลังไม่เกร็งตึง สามารถนั่งทำงานได้นานมากยิ่งขึ้น ควรนั่งให้เต็มเก้าอี้ การนั่งให้เต็มเก้าอี้จะช่วยให้หลังไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินซึ่งหากหลังรับน้ำหนักจากการนั่งมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ ข้อศอกควรตั้งฉาก 90 องศา โดยสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ คือข้อศอกควรที่จะขนานกับโต๊ะทำงานหรือหากมีการใช้โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ควรให้คีย์บอร์ดอยู่ระดับเดียวกับข้อศอกหรือข้อมือเพื่อที่จะช่วยให้บริเวณหัวไหล่ได้ผ่อนคลายไหล่ไม่ตกและหลังไม่งอ หรือเลือกใช้เก้าอี้สำนักงานที่มีที่พักแขนหากที่พักแขนสามารถปรับระดับได้จะยิ่งช่วยให้แขนสามารถวางในระดับที่ถูกต้องและทำให้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง การนั่งไขว่ห้างจะทำให้น้ำหนักลงไปที่ขาหรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งซึ่งจะทำให้ขาหรือเท้าข้างดังกล่าวเลือดไหลเวียนไม่ดี ทำให้เกิดการเมื่อย กล้ามเนื้อผิดรูป กระดูกสันหลังคดงอ เส้นประสาททำงานผิดปกติและหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ ซึ่งการนั่งที่ถูกตรงตามหลักการยศาสตร์คือเมื่อนั่งหัวเข่าควรต้องตั้งฉาก 90 องศาและข้อพับควรแนบชิดเบาะรองนั่ง หากจะเพิ่มการนั่งให้สบายมากขึ้นสามารถใช้อุปกรณ์เสริมอย่างที่วางเท้าได้ซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับใครที่นั่งเก้าอี้สำนักงานแล้วเท้าลอยไม่แนบชิดกับพื้นการมีที่รองเท้าจะช่วยให้นั่งทำงานสบายมากยิ่งขึ้น การปรับระดับของเก้าอี้สำนักงานให้เหมาะกับสรีระของร่างกายของผู้นั่งจะช่วยให้สามารถนั่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดออฟฟิศซินโดรมซึ่งส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพและการทำงาน ดังนั้นหากเลือกซื้อเก้าอี้สำนักงานควรเลือกเก้าอี้ที่สามารถปรับระดับได้เพื่อให้การนั่งทำงานมีความสบายมากที่สุด รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการนั่งให้เปลี่ยนท่านั่งให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวท่านเอง Jenstore by Jenbunjerd จำหน่าย เก้าอี้สำนักงาน, เก้าอี้ผู้บริหาร ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพและมีวัสดุห่อหุ้มให้เลือกหลายชนิด เช่น หนังแท้, หนังเทียม, ผ้า หรือตาข่าย อีกทั้งยังสามารถปรับระดับได้เพื่อรองรับความต้องการในการใช้งาน มีความแข็งแรงและทนทาน ภายใต้แบรนด์คุณภาพระดับพรีเมียม มีการรับประกันคุณภาพของสินค้า พร้อมยินดีให้คำแนะนำและมีบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
×
สายด่วนสั่งซื้อสินค้า บริการจัดหาสินค้า สินค้าสั่งทํา 02 096 9999
บริการหลังการขาย 02 096 9898
ต่อ 3102-3103
ไลน์ @jenstore
เวลาทําการ 08.30 - 17.30 น.
Copy to Clipboard